สนช.จัดเต็มหั่นราคาบ้านที่ยกเว้นภาษีที่ดินใหม่ลงเหลือ 20 ล้าน เข้าทางตีนคลังเต็มพิกัดเพิ่มสัดส่วนบ้านที่ต้องเข้าข่ายถูกรีดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่เป็นกว่า 2% ของครัวเรือนทั้งประเทศ ด้านคลังเชื่อสนช.ผ่านร่างกฎหมายใหม่ในเดือน พ.ย.นี้ก่อนประกาศใช้ในปี 2562
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าของ ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญติแห่งชาติ(สนช.)ว่า ขณะนี้ คณะกรรมาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในวาระ 2 ซึ่งได้มีการขยายระยะเวลาการพิจารณาออกไปอีก 60 วันจนถึงสิ้นเดือน พ.ย.นี้ และคาดว่าจะส่งให้ สนช.พิจารณาในวาระ 3 ได้ก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ได้ภายเดือน ม.ค.62
ทั้งนี้ ยืนยันว่า กฎหมายดังกล่าวจะเป็นการสร้างฐานการจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินเป็นสำคัญ ซึ่งจะทำให้ผู้เสียภาษีมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มากขึ้นว่ามีการนำภาษีที่เก็บได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับท้องถิ่นหรือไม่ เนื่องจากการจัดเก็บรายได้จากกฎหมายดังกล่าวเป็นหน้าที่ของ อปท. โดยมีการประเมินว่า พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะทำให้ อปท.สามารถจัดเก็บรายได้ปีละ 28,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11-12% ของรายได้ท้องถิ่นทั้งหมด ซึ่งถือว่าไม่มาก เพราะรัฐบาลก็ยังคงให้การอุดหนุนรายได้ให้กับท้องถิ่นอยู่ ส่วนการยกเว้นภาษีสำหรับที่อยู่อาศัยได้ลดลงมาเหลือ 20 ล้านบาท จะทำให้มีผู้เสียภาษีเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2% จากเดิมมีข้อเสนอให้เว้นภาษีที่ 50 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีผู้เสียภาษีเพียง 1% ของ 20 ล้านครัวเรือน
นอกจากนี้ อัตราภาษีที่จัดเก็บ ยังมีการมีการเสนอให้จัดเก็บแบบขั้นบันได เหมือนกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคือ ยิ่งรวยก็ยิ่งเสียภาษีมากขึ้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่อัตราภาษีแบบบันไดจะไม่สูงมากนัก เพราะกฎหมายนี้ ถือเป็นประเภทภาษีใหม่ที่เก็บบนฐานของราคาทรัพย์สิน เช่น บ้านราคา 30 ล้านบาท ได้รับยกเว้น 20 บ้านบาทแรก จึงให้นำวงเงิน 10 ล้านบาทมาคำนวณแบบขั้นบันได หากเก็บภาษี 0.02% คิดเป็นภาระภาษีประมาณ 2,000 บาทต่อปี มองว่าหากคนมีรายได้สูงขนาดนั้นอาจไม่เป็นภาระมากนัก แต่สำหรับที่ดินเกษตรกร และร้านค้าเชิงพาณิชย์อัตราภาษีที่จัดเก็บก็ต้องทำให้เกิดความเป็นธรรมและความเต็มใจ ซึ่งแต่เดิมก็มีการเสียภาษีโรงเรือนและภาษีบำรุงท้องที่อยู่แล้ว แต่ท้องถิ่นจัดเก็บรายได้ได้น้อยมาก