บทความโดย ดร.สุเมธ องกิตติกุล
ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่ง และโลจิสติกส์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ ไทย (ทีดีอาร์ไอ)
คำสั่ง คสช. ตามมาตรา 44 ในเรื่องมาตรการเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพ–นคร ราชสีมา เป็นอีกความพยายามหนึ่งที่จะทำให้มีการเริ่มต้นการก่อสร้างรถไฟ ความเร็วสูงโครงการนี้อย่างเร็วที่สุด
โดยมีเนื้อหาคือ ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยทำสัญญาจ้างรัฐวิสาหกิจของจีนในงานออกแบบรายละเอียด งานที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง และงานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายว่า ด้วยการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมและสถาปนิก และให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างและการพัสดุ
ถ้าเราดูประเด็นมาตรา 44 ที่ออกมานั้น จะพบว่ามีความพยายามของรัฐบาลในการเร่งรัดโครงการ โดยมีสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการส่งสัญญาณเป็นระยะๆ จากการเจรจากับฝ่ายจีนมาเกือบ 3 ปี แต่ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรจากการเจรจาที่ผ่านมา ซึ่งมาตรา 44 นี้ สร้างข้อกังวลให้กับหลายภาคส่วน อย่างเช่น สภาวิศวกรและสภาสถาปนิก ที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับเรื่องการยกเว้นการบังคับใช้กฎห มายว่าด้วยการประกอบวิชาชีพนั้น เป็นข้อท้วงติงที่รัฐบาลควรรับฟังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคตได้
ปัญหาเรื่องกฎหมายและกฎระเบียบของการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-นครราชสีมา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น และการใช้มาตรา 44 นี้ คงเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเพียงบางส่วน แต่ปัญหาหลักที่มีมาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ คือความพยายามที่จะดำเนินโครงการโดยใช้ขั้นตอนการทำงานที่ไม่เคยใช้ในไทยมาก่อน คือ อนุมัติให้เริ่มต้นก่อสร้างโครงการก่อนที่จะมีรายละเอียดทั้งหมดในการพิจารณา
ปกติแล้ว การพิจารณาอนุมัติให้เริ่มต้นก่อสร้างโครงการ โครงการต้องมีความพร้อมระดับหนึ่งแล้ว ทั้งในเรื่องของการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเงิน การออกแบบรายละเอียดส่วนใหญ่ (อาจจะไม่ทั้งหมด) และการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม จึงสามารถนำรายละเอียดทั้งหมดมาประกอบการจัดสรรงบประมาณ และเริ่มต้นก่อสร้าง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ โครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่ผ่านมา เช่น การลงทุนรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุ งเทพมหานคร ได้มีการดำเนินการตามกระบวนการเหล่านี้มาโดยตลอด
การตัดสินใจอนุมัติโครงการโดยที่ยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด มีโอกาสที่จะทำให้การตัดสินใจผิดพลาด และถ้ามีปัญหาเมื่อเริ่มดำเนินโครงการทั้งในส่วนของการก่อสร้าง และการจัดการเดินรถในอนาคต การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจะเกิด ความยุ่งยากในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ มากกว่าปกติ
ในกรณีของโครงการนี้ ปัญหาที่น่าจะยังไม่ได้ข้อสรุป คือ การทับซ้อนของเส้นทางรถไฟความเร็วสูงระหว่างช่วง กรุงเทพฯ (บางซื่อ) ถึงอยุธยา ซึ่งจะมีทั้งเส้นทางรถไฟความเร็วสูงระบบของจีน (กรุงเทพ-นครราชสีมา) และเส้นทางรถไฟความเร็วสูงระบบญี่ปุ่น (กรุงเทพฯ-เชียงใหม่) ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะมีการ ใช้โครงสร้างพื้นฐาน (ราง) ร่วมกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งประเด็นนี้ แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้ามีการอนุมัติให้เริ่มก่อสร้างโครงการ โดยที่รายละเอียดของโครงการยังไม่แล้วเสร็จ
จากสัญญาณที่รัฐบาลส่งผ่าน มาตรา 44 ในครั้งนี้ รวมถึงข้อตกลงที่ทางรัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลญี่ปุ่น หมายถึงประเทศไทยจะมีรถไฟความเร็วสูง อย่างน้อย 2 ระบบ นั่นคือระบบของจีน และระบบของญี่ปุ่น โดยในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์นั้น การมีเทคโนโลยีทั้งสองระบบในประเทศ จะมีต้นทุนในการดำเนินงานสูงกว่าการมีระบบเดียว รวมถึงการพัฒนาโครงข่ายในอนาคต จะทำได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น จนสุดท้ายอาจจต้องมีการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีเดียวในอนาคต ซึ่งจะเป็นต้นทุนที่ไม่ควรที่จะเสียตั้งแต่ต้น
คำถามที่ต้องการคำตอบก่อนจะมีการอนุมัติโครงการให้เริ่มมีการก่อสร้างโครงการนี้ คือ 1)ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องมีรถไฟความเร็วสูงจริงหรือไม่ ทั้งนี้ การจะตอบคำถามนี้จะเกี่ยวข้องกับคำถามอื่นๆ ที่จะตามมาด้วย
2) ถ้าประเทศไทยจำเป็นต้องมีรถไฟความเร็วสูง เราควรมีรถไฟความเร็วสูงถึง 2 ระบบหรือไม่ หรือจะเหมาะสมกว่าที่มีรถไฟความเร็วสูงเพียงระบบเดียว
3) มีการศึกษารายละเอียดต่างๆ พร้อมแล้วหรือไม่ ทั้งในส่วนของการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางเศรฐษกิจและการเงิน การออกแบบรายละเอียด และการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ถ้ามีการอนุมัติให้เริ่มก่อสร้างโครงการก่อนที่จะมีรายละเอียดจะมีปัญหาหรือไม่
4) การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและการเงินที่ผ่านมา มีผลเป็นอย่างไร มีจำนวนคาดการณ์ผู้โดยสารอย่างไร รวมถึงรูปแบบการบริหารจัดการทาง การเงิน และเงินอุดหนุนของภาครัฐในอนาคต สำหรับโครงการนี้ และ 5) มีการพิจารณาความเชื่อมโยงกับการพัฒนาเมือง รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเมืองที่มีสถานีรถไฟความเร็วสูง ผ่าน โดยมีโครงการรองรับหรือไม่อย่างไร
แม้ว่ารัฐบาลจะส่งสัญญาณผ่านการใช้มาตรา 44 แต่มาตรา 44 นี้ เป็นเพียงการเร่งรัดโครงการโดยการยกเว้นกฎระเบียบบางอย่างที่เป็นอุปสรรค ไม่ได้หมายถึงการตัดสินใจดำเนินโครงการ รัฐบาลควรพิจารณาตอบคำถามข้างต้นก่อนที่จะอนุมัติโครงการและเซ็นสัญญาว่าจ้างต่างต่อไป นอกจากนี้ รัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการทั้งทางเศรษฐกิจและการเงิน รวมถึงรูปแบบการลงทุนต่างๆ เพื่อสร้างความโปร่งใสในการดำเนินโครงการยิ่งขึ้น