ครม.อนุมัติ กลุ่มบีทีเอส ก่อสร้าง-รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู

0
295

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า  ที่ประชุม ครม.เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาสัมปทานโครงการถไฟฟ้าสายสีชมพู  ช่วงแคราย-มีนบุรี  34.5 กม. วงเงิน 54,000 ล้านบาท และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง  ระยะทาง 30.4 กม. วงเงิน 52,000 ล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่มีผู้ชนะการประมูลคือ BSR Joint Venture ประกอบด้วย บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) หรือ บีทีเอส กรุ๊ป, บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH และบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ STEC  พร้อมกับอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรงบประมาณรายจ่ายประจำปีในลักษณะการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีไม่เกิน 5 ปี  คาดว่าจะลงนามในสัญญาได้โดยเร็วที่สุด  ภายในเดือน มิ.ย.นี้ และใช้เวลาก่อสร้างพร้อมเปิดใช้งานในปี63

ส่วนข้อเสนอเพิ่มเติมที่  บีทีเอส กรุ๊ป  ได้เสนอที่จะต่อเชื่อมสายสีชมพู โดยเชื่อมจากถนนแจ้งวัฒนะเข้าไปยังอาคารอิมแพคและทะเลสาบในเมืองทองธานี ระยะทาง  2.8 กม. ,ส่วนสายสีเหลือง จะต่อเชื่อมจากสถานีลาดพร้าว MRT  ผ่านหน้าศาลอาญาไปเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวบริเวณแยกรัชโยธิน ระยะทาง2.6 กม. นั้นว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีข้อสังเกตว่า ส่วนเชื่อมต่อดังกล่าวไม่ได้อยู่ในกรอบมติ ครม.ที่อนุมัติไว้เมื่อวันที่  29 มี.ค.59   แต่ในร่างประกาศเชิญชวนเอกชนได้กำหนดให้มีการยื่นข้อเสนออื่นๆ ได้ ดังนั้นจะไม่มีการนำข้อเสนอดังกล่าวใส่ไว้ในแนบท้ายของสัญญา แต่จะเขียนไว้ในภาพกว้างๆรวมไว้ในสัญญาหลักภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ และดำเนินการตามขั้นตอนของ พรบ.ร่วมทุน 2556 เป็นการกำหนดไว้แบบกว้างๆ

ด้าน นายธีรพันธ์ เตชะศิรินุกูล  รองผู้ว่า รฟม. ในฐานะรักษาการ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ  รฟม. กล่าวว่า เนื่องจากทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตั้งข้อสังเกตว่าข้อเสนออื่นๆไม่ควรกำหนดไว้เป็นแนบท้ายของสัญญา   จึงได้มีการพิจารณาและกำหนดไว้ในสัญญาหลักข้อที่ 36. 9  ในหัวข้อที่ว่าด้วยกรณีที่เป็นข้อเสนออื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการ และการดำเนินการจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมาย คือจะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมของโครงการและจัดทำรายงาน EIA จากนั้นจึงจะมีการวิเคราะห์รายละเอียดโครงการ และต้องดำเนินการตาม พรบ.ร่วมทุน 2556  หากเห็นว่าเป็นโครงการที่มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ก็สามารถที่จะเจรจาโดยจะให้มีการรวมไว้ในสัญญานี้  ซึ่งจะเป็นขั้นตอนของคณะกรรมการตามมาตรา 43 ใน พรบ.ร่วมทุน 2556 ที่จะเข้ามารับผิดชอบในการเจรจาต่อไป

อย่างไรก็ตาม นายธีรพันธ์ กล่าวว่า ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการศึกษาความเหมาะสมโครงการ  การจัดทำ EIA  การเวนคืนที่ดินต่างๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างส่วนต่อเชื่อมทั้งหมด เอกชนจะต้องรับภาระค้าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามผลการเจรจากับเอกชนก่อนหน้านี้  แต่ในสัญญาข้อ 39.6 จะไม่ได้กำหนดรายละเอียดใดๆ นอกจากระบุว่าข้อเสนอเพิ่มเติมจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการที่กำหนด