กรมทางหลวงชนบท(ทช.)สร้างสะพานข้ามลำน้ำมูล เชื่อมจบุรีรัมย์-สุรินทร์ งบประมาณ 125.1 ล้านบาท เร็วกว่าแผน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพกคมนาคมขนส่งสินค้าการเกษตร และช่วยร่นระยะทาง คาดแล้วเสร็จและเปิดให้สัญจรได้ในปี 67
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามลำน้ำมูล ตำบลสะแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ปัจจุบันมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 83 เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างผิวจราจรบนสะพาน คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ พร้อมเปิดใช้งานได้ในปี 2567 สะพานแห่งนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชนสามารถเดินทางเชื่อมโยงระหว่างบ้านโนนค้อ ตำบลสะแก อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ กับบ้านเบ็ง ตำบลศรีณรงค์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วปลอดภัย ลดระยะเวลา ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการขนส่งพืชผลทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนในการเดินทาง ต้องเดินทางอ้อมไปใช้สะพานที่อยู่ห่างออกไปถึง 27.7 กิโลเมตร ประชาชนบ้านโนนค้อจึงได้ขอรับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างสะพานข้ามลำน้ำมูล โดยใช้งบประมาณ 125.1 ล้านบาท โดยก่อสร้างเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ผิวจราจรกว้าง 9 เมตร จำนวน 2 แห่ง คือ สะพานข้ามลำน้ำมูล ความยาว 160 เมตร และสะพานข้ามกุดครุน้อย ความยาว 80 เมตร พร้อมทั้งก่อสร้างถนนต่อเชื่อมเป็นผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ความกว้าง 6 เมตร ความยาวรวมประมาณ 6.5 กิโลเมตร ติดตั้งเครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัยตามแนวสายทางเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มการก่อสร้างและระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ทช. ได้จัดประชุมการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และลงนามบันทึกความร่วมมือ 3 ฝ่าย ระหว่าง ทช. ผู้รับจ้าง และผู้แทนประชาชน โดยมีการนำเสนอความเป็นมา ลักษณะของโครงการ ขั้นตอนการดำเนินงาน และรายงานผลการดำเนินงาน พร้อมทั้งได้รับฟังข้อเสนอแนะ ตอบข้อซักถาม สอบถามความคิดเห็นจากผู้นำชุมชน ประชาชน หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน การดำเนินโครงการสอดคล้องกับความต้องการ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ให้มากที่สุด ซึ่ง ทช. จะดำเนินการจัดประชุมการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ครั้งที่ 3 (ครั้งสุดท้าย) เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ก่อนเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการต่อไป