ทอท.xสตม.วาง 4 นโยบายติดสปีดบริการรองรับผดส.ขาเข้า-ออก เน้นรวดเร็วแต่ปลอดภัย

0
52

ทอท.จับมือ สตม.ขานรับนโยบายนายกฯวาง 4 นโยบายเพิ่มอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ เติมเต็มศักยภาพตรวจพาสปอร์ต ลดขั้นตอนตรวจค้นแต่ยังคงมาตรฐานความปลอดภัย พ่วงใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หวังติดสปีดบริการผู้โดยสารขาเข้า-ออกสนามบินดันไทยสู่ฮับการบิน

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ พล.ต.ต. เชิงรณ ริมผดี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 (ผบก.ตม.2) ลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อตรวจความพร้อมประสานการทำงาน ตม. ใกล้ชิด เผยแผนเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองใหม่ 600 อัตรา พร้อมเพิ่มศักยภาพตรวจหนังสือเดินทางและวางระบบ Automatic channels รองรับผู้โดยสารทั้งขาเข้า – ขาออก โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ลดขั้นตอนตรวจค้นแต่ยังคงมาตรฐานความปลอดภัย

นายกีรติ กล่าวว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อตรวจความพร้อมการรองรับผู้โดยสารช่วงวันหยุดยาว ตามนโยบายที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค พร้อมมีข้อกำชับให้ ทอท. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการให้บริการในทุกจุดตั้งแต่ผู้โดยสารลงเครื่อง ระบบการตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) การให้บริการภาคพื้น ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้เดินทางจากทั่วโลก เพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย

การดำเนินการขับเคลื่อนเพื่อขยายศักยภาพการให้บริการเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ทอท. อยู่ระหว่างดำเนินการในหลายส่วน โดยเฉพาะในท่าอากาศยานหลัก ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวใช้บริการจำนวนมาก เช่น ทสภ.  ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ตรวจความพร้อมการให้บริการพบว่า ปัจจุบันนับตั้งแต่เทศกาลปีใหม่ 2567 มีผู้โดยสารมาใช้บริการในชั่วโมงคับคั่งประมาณ 5,000 – 6,000 คนต่อชั่วโมง โดยมีผู้โดยสารรอคิวในกระบวนการที่จุดตรวจค้นและจุดตรวจหนังสือเดินทาง ในช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารหนาแน่นสูงสุดอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 10 นาที และมีระยะเวลารอคิวเฉลี่ยอยู่ที่ 46 นาที ซึ่งยังคงนานเกินกว่าที่ ทอท. ตั้งเป้าไว้ ว่าทั้งกระบวนการระยะเวลารอรวม ไม่ควรเกิน 30 นาที ดังนั้น ทอท. จึงมีนโยบายเร่งด่วนในการปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มความเร็วในการให้บริการ ดังนี้

1. จัดจ้างเจ้าหน้าที่สนับสนุนกระบวนการตรวจค้น และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือในท่าอากาศยาน จำนวน 800 อัตรา เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกต่อผู้โดยสารทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ภายในวันที่ 30 มีนาคม 2567

2. ประสานความร่วมมือจาก ตม.2 จัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจลงตราให้เต็มทุกเคาน์เตอร์ก่อนเข้าสู่ชั่วโมงคับคั่ง และการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ ซึ่งทาง ตม.2 ได้บรรจุเจ้าหน้าที่ใหม่แล้วจำนวน 200 อัตรา ขณะนี้อยู่ในระหว่างการอบรมภาคทฤษฎีคาดว่าจะสามารถ เริ่มปฏิบัติงานได้จริงตั้งแต่ 1 มีนาคม 2567 รวมทั้งยังมีแผนที่จะขอบรรจุอัตรากำลังเพิ่มอีก 400 อัตรา รวมเป็น 600 อัตราภายในปีนี้

3. ติดตั้งระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automatic channels) ทั้งส่วนของผู้โดยสารขาเข้าและขาออกเพิ่มเติม ตลอดจนพัฒนาซอฟต์แวร์ของระบบให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จำนวน 80 ช่องตรวจ โดยจะติดตั้งระบบ 20 ชุดแรก ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2567 และจะติดตั้งให้แล้วเสร็จทั้งหมด ภายในวันที่ 15 กรกฏาคม 2567

4. ประสานความร่วมมือการขออนุญาตจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจค้นให้สอดรับกับรูปแบบการเดินทางในปัจจุบัน เช่น การตรวจ Power bank รวมถึงการลดขั้นตอนการถอดรองเท้าของผู้โดยสาร โดย ทอท. ได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาสนับสนุนแล้วสามารถลดขั้นตอนบางส่วนลงได้ แต่ยังคงมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ซึ่งทั้งหมดจะช่วยลดระยะเวลาบริการและความแออัดของผู้โดยสารขาออกได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับการอำนวยความสะดวกและเพิ่มความรวดเร็วในการเช็กอินของสายการบิน ปัจจุบัน ทสภ. ได้นำระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (CUPPS) ซึ่งประกอบด้วย บริการอัตโนมัติหลายระบบ มาให้บริการ ณ บริเวณโถงผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 อาคารผู้โดยสาร เน้นการให้ผู้โดยสารใช้บริการด้วยตนเอง (Self Service) ลดการรอคิว อาทิ ระบบเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (CUSS) ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (CUBD) นอกจากนี้  ทสภ. ร่วมกับสายการบินจำนวน 24 สายการบิน เปิดให้ผู้โดยสารสามารถทำการเช็กอินก่อนเวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้ผู้โดยสารสามารถบริหารการเดินทางได้โดยสะดวกมีเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ก่อนออกเดินทางมากขึ้น และเป็นการลดความแออัดบริเวณโถงผู้โดยสารขาออกด้วย

นายกีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย Aviation Hub ของรัฐบาล ทอท. อยู่ระหว่างการผลักดันโครงการขนาดใหญ่เพื่อขยายขีดความสามารถในการให้บริการของท่าอากาศยานภายใต้การบริหารของ ทอท. อีกหลายโครงการโดยเฉพาะ ทสภ. ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของทางวิ่งให้รองรับเพิ่มจาก 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมงเป็น 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในกลางปี 2567 โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) ที่จะเป็นการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออกของอาคารเดิมเพื่อเพิ่มพื้นที่การให้บริการ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะเพิ่มขีดความสามารถของ ทสภ. อีก 15 ล้านคนต่อปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงแบบ โดยคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างในปี 2567 แล้วเสร็จในปี 2570

อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) ที่เพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารของ ทสภ. จาก 45 ล้านคน เป็น 60 ล้านคนต่อปี ขณะนี้อยู่ระหว่างการผลักดันให้สายการบินเพิ่มบริการ ณ SAT-1 เพิ่มขึ้น รวมทั้งให้ผู้ประกอบการที่ให้บริการภาคพื้นมีความพร้อมด้านอุปกรณ์และบุคลากรเพื่อรองรับสายการบินที่ไปให้บริการที่ SAT-1 ซึ่งจะสามารถเพิ่มศักยภาพการรองรับเที่ยวบิน และจำนวนผู้โดยสารของ ทสภ. ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทอท. ในฐานะผู้บริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งของประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพของท่าอากาศยานในความรับผิดชอบให้สามารถมอบบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยด้วยมาตรฐานสากลแก่ผู้โดยสาร มอบประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจแก่ผู้มาเยือนจากทุกมุมโลก มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวพร้อมสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางด้านการบินของภูมิภาคตามนโยบายรัฐบาล