ว่ากันไปตามปฏิทินกาลเวลาห้วงนี้ประเทศไทยเราเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งที่หลายคนเฝ้ารอคือการได้ออกไปสัมผัสอากาศหนาวเย็นท่ามกลางวิวทิวทัศน์ที่งามเด่น แต่“อาคันตุกะ”ที่ไม่ได้รับเชิญแต่เผอิญมันก็ยินดีที่จะโผล่หน้ามาหลอนทุกปียามเข้าฤดูกาลนี้
นั่นก็คือ“ฝุ่นพิษPM2.5″เจ้ากรรมนายเวรคนกรุงและปริมณฑลมาทีไรอยากจะเผ่นหนีไปไกลๆเพราะมันเป็นภัยต่อท่อระบบทางเดินหายใจ ตามมาติดๆแน่ๆยิ่งกว่าแช่แป้งก็บรรดา“มาตรการล้อมคอก”แก้ปัญหาฝุ่นพิษเสมือนมาตรการรูทีนที่วนลูปปัญหาฝุ่นจากภาครัฐและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง และไม่ผิดหวังอีกเช่นกันก็บรรดาด่านจับ-ปรับควันดำที่ดูจะอุ่นหนาฝาคั่งยิ่งนักในห้วงนับจากนี้ไป
ล่าสุด กรมขนส่งฯก็ออกโรงโชว์ผลงานการตรวจจับ-ปรับควันดำทั่วประเทศในรอบขวบปีที่ผ่านมา(1 ต.ค. 64-30 ก.ย.65)พบรถบรรทุก-บัสโดยสารควันดำเกินกว่ากฎหมายกำหนดและถูกสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ“ห้ามใช้”จำนวน1,795 คันหวังแก้ไขปัญหาฝุ่นPM2.5 เข้มต่อเนื่องด้วยการตั้งด่านควันดำทั่วประเทศตามเกณฑ์ตรวจ”ควันดำ”ใหม่ แนะนำเจ้าของรถตรวจเช็กและซ่อมเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ
ทั้งนี้ หากโรคอัลไซเมอร์ไม่ลักพาไปเที่ยวที่ไหนแล้วล่ะก็น่าจะพอจำกันได้กับการปรับเกณฑ์ตรวจค่าควันดำใหม่ที่กรมขนส่งฯดำเนินการปรับปรุงมาตรฐานการตรวจวัดค่าควันดำจากท่อไอเสียของรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกและกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ให้สอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานค่าควันดำและวิธีการตรวจวัดที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนด
ซึ่งควันดำจากท่อไอเสียของรถเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยการปรับปรุงมาตรฐานการตรวจวัดค่าควันดำมีสาระสำคัญ ดังนี้
กรณีการตรวจวัดควันดำด้วยเครื่องวัดควันดำระบบวัดความทึบแสง ขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดำสูงสุดไม่เกินร้อยละ30 (เดิมร้อยละ45)
หากตรวจวัดควันดำด้วยเครื่องวัดควันดำระบบกระดาษกรอง ขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดำสูงสุดไม่เกินร้อยละ40(เดิมร้อยละ50)
ซึ่งเกณฑ์การตรวจควันดำใหม่นี้ได้มีผลบังคับใช้ผลบังคับใช้วันที่ 13 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ กรมขนส่งฯได้ดำเนินการมาตรการนี้ก็เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยจะจัดผู้ตรวจการออกตรวจวัดควันดำจากท่อไอเสียของรถบรรทุกและรถโดยสารในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงการตรวจวัดควันดำบนถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ
จากสถิติที่กรมขนส่งฯออกตรวจวัดควันดำอย่างต่อเนื่อง พร้อมเก็บผลการตรวจสอบวัดควันดำในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระหว่าง1 ต.ค.64-30ก.ย.65 กองตรวจการขนส่งทางบกได้ตรวจรถบรรทุกและรถโดยสารทั้งหมดจำนวน121,328 คัน มีรถบรรทุกและรถโดยสารมีค่าควันดำเกินกว่ากฎหมายกำหนดและถูกสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ“ห้ามใช้” จำนวน 422 คัน
ขณะที่ผลการตรวจสอบวัดควันดำทั่วประเทศในห้วงเวลาเดียวกัน โดยได้มีการตรวจรถบรรทุกและรถโดยสารจำนวน 287,345 คัน และมีรถบรรทุกและรถโดยสารมีค่าควันดำเกินกว่ากฎหมายกำหนดและถูกสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ“ห้ามใช้”จำนวน1,795คัน
โดยกรมขนส่งฯแนะให้เจ้าของรถตรวจเช็กและซ่อมเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ โดย 5 วิธีแก้ไขรถที่ปล่อยควันดำเบื้องต้น ดังนี้
1.ให้ทำความสะอาด หรือเปลี่ยนกรองอากาศใหม่
2.เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามระยะเวลา
3.เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา
4.ปรับตั้งปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งจังหวะการฉีดเชื้อเพลิงให้ถูกต้อง
5.ตรวจเช็กและปรับตั้งหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นละออง และมีแรงดัน เป็นต้น
พร้อมกับย้ำเตือนว่าหากตรวจวัดควันดำด้วยระบบวัดความทึบแสงแล้วมีค่าควันดำเกินร้อยละ 30 หรือตรวจวัดควันดำด้วยระบบกระดาษกรอง แล้วมีค่าควันดำเกินร้อยละ 40 จะถูกเปรียบเทียบปรับสูงสุด 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ“ห้ามใช้”จนกว่าเจ้าของรถจะนำรถไปแก้ไขสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีค่าควันดำเกินกำหนด และนำมาตรวจสภาพอีกครั้งจนผ่านการตรวจวัดจึงจะนำไปใช้งานได้
ดูเหมือนว่าเมื่อฤดูหนาวพร้อมๆกับปัญหาฝุ่นจิ๋วมหาประลัยมาเยือนคราใด อารมณ์พลพรรคสิงห์รถบรรทุก-รถบัสโดยสารครานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการที่กำลังถูกรัฐจับมัดโซ่ตรวนเป็น“แพะบูชายัญ”บวงสรวงพิธีกรรมไล่ฝุ่นพิษPM 2.5 เพื่อความสงบร่มเย็นสุขภาพแห่งมวลประชา
ทว่า พวกเขาจะได้รับเกียรติถูกจารึกไว้ใน“คัมภีร์ไล่ฝุ่น”หรือทรงคุณค่าพอกับเหรียญกล้าหาญไว้เป็นที่ระลึกหรือไม่?หลังเพ่งกสิณในดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว…คงเหลือแต่ “สุญญตา”…ในสายตาเธอประเทศไทย!
ว่าแต่ว่าพรี่ๆไหวมั้ย?ค่าควันดำเกณฑ์ใหม่ที่โหดกว่าเดิมหากวัดระบบทึบแสงต้องไม่เกินร้อยละ30(เดิมร้อยละ45)ขณะที่ระบบกระดาษกรองต้องไม่เกินร้อยละ40(เดิมร้อยละ50)
…เตรียมตัวให้พร้อมไม่งั้นเต็มคาราเบ้ล!
:จิ้งเหลนไฟ