ถือเป็นคลื่นมาแรงโน้มถ่วงการเปลี่ยนเทรนด์เทคโนโลยีโลกยานยนต์สมัยใหม่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลังไหลกระทบฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากงานมหกรรมยานยนต์มอเตอร์โชว์เมื่อช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมามียอดจองรถยนต์ภายในงานรวมทั้งสิ้น 33,936 คันโตจากปีก่อน 13.6% ที่น่าฮือฮาที่หลายฝ่ายจับตาคือยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าจะพุ่งสูงมากน้อยเพียงใด
ปรากฎว่าสูงถึง 3,000 คัน หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของยอดจองภายในงานทั้งหมด ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันแพงจากวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน และได้อานิสงส์แรงหนุนจากมาตรการภาครัฐที่ปรับลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเทรนด์การเปลี่ยนแปลงยานยนต์สมัยใหม่ หลอมรวมแม่เหล็กให้คนไทยสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ท่ามกลางคลื่นรถ EV บุกไทยผนวกแรงกระเพื่อมกระแสความตื่นตัวคนไทย แรงกระตุ้นมาตรการจากภาครัฐ ทำให้หลายฝ่ายต่างมองว่าช่วงเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปไปเป็น EV น่าจะเป็นโอกาสทองการเติบโตอุตสาหกรรมยานยนต์ และห่วงโซ่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างเนื่อง ทว่า หลังเหลือบเห็นงานวิจัยของ KKP Research ในหัวข้อ ‘เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์เปลี่ยนเป็น EV ทำไมไทยเสียเปรียบคู่แข่ง?’
ถือเป็นงานวิจัยจุดประกายจากห้วงความตื่นเต้นกลายเป็นข้อกังวลว่าการเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปไปเป็น EV ที่ผู้คนมองตรงกันว่ามันคือ “โอกาสทอง” แท้จริงแล้ว มันอาจกลายเป็น”หายนะ”วงล้ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก็เป็นได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น Logistics Time ขอขมวดจากงานวิจัยของ KKP Research ดังกล่าวต่อไปนี้
เมื่อไหร่? EV ขึ้นแท่นแทนเครื่องยนต์สันดาป
เรื่องนี้ KKP Research ระบุว่าภาพรวมรถ EV โลกแม้ว่าภาพรวมตลาดโลกจะเติบโตมาก โดยช่วงปี 2019-2021 ยอดขายรถ EV ทั่วโลกเติบโตเฉลี่ยถึง 70% แต่ KKP Research ประเมินว่า ตั้งแต่ปี 2022-2025 ยอดขาย EV ทั่วโลกจะเติบโตช้าลงมาก เหลือแค่เฉลี่ยปีละ 30% ไม่ใช่ว่าคนไม่นิยมแต่เพราะว่าจะผลิตไม่ทัน ทว่า แร่ลิเธียมที่จำเป็นในการทำแบตเตอรี่จะผลิตไม่ทัน และมีการคาดการณ์ว่าจะขาดแคลนในปี 2024-2026
เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดก็คือว่า“แร่ลิเธียม”คือหัวใจหลักของการผลิตแบตเตอรี่ EV ซึ่งการผลิตรถ EV 1 คันต้องใช้แร่ลิเธียมเฉลี่ย 9 กิโลกรัม ปัจจุบันออสเตรเลียมีสัดส่วนการผลิตแร่ลิเธียมถึง 55% ของกำลังการผลิตทั่วโลก แต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันออสเตรเลียมีกำลังการผลิตอยู่เพียงแค่ 1 แสนตันต่อปีเพียงพอต่อการผลิต EV ประมาณ 11 ล้านคันต่อปี ทว่า ยอดขายรถเครื่องยนต์สันดาปทั่วโลกอยู่ที่ปีละ 80 ล้านคัน เพราะฉะนั้นระยะสั้นหากยังไม่มีเทคโนโลยีที่เพิ่มกำลังการผลิตแร่ลิเธียม หรือมีเทคโนโลยีใหม่ในการผลิตแบตเตอรี่ ยอดขายรถยนต์ EV ก็จะไม่เติบโตมากแม้ความต้องการจะมหาศาลก็ตาม
สะท้อนว่าไทม์ไลน์รถ EV จะขึ้นแท่นแทนยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปล่าช้าออกไปจากที่เคยประเมินเอาไว้!
ขีดความสามารถการแข่งขันไทยลดลง?คู่แข่งมาแรงแซงไทย
KKP Research ระบุในงานวิจัยอีกว่าจากไทยที่เป็น Detroit of Asia ฐานการผลิตรถยนต์สำคัญขายในตลาดโลกอาจไปสู่จุดจบแบบที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศออสเตรเลียก็เป็นได้ โดย KKP Research ประเมินว่า การผลิตรถยนต์ในประเทศไทยมีแนวโน้มเหลือเพียงแค่การผลิตเพื่อขายในประเทศเท่านั้น หรือเลวร้ายที่สุดอาจจะต้องนำเข้ารถยนต์จากประเทศอื่นแทน ตามข้อมูลดังนี้
คู่แข่งสำคัญในตลาดโลกเราคือจีนและอินโดนีเซีย โดยสัดส่วนการส่งออกรถยนต์จากไทยไปตลาดโลกลดลงจาก 1.7% เหลือเพียง 1.3% แต่ถ้าไปดูจีนส่วนแบ่งในตลาดโลกเขาเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายใน 5 ปี จาก 0.7% เป็น 1.5% เนื่องจากรถจีนเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นและเจาะตลาดรถยนต์ได้ในหลายประเทศ
และหากพูดถึงรถ EV จีนถือได้ว่าเจาพัฒนาไปไกลมาก เนื่องจากเขาพัฒนาแบตเตอรี่มานานแล้ว และสามารถเป็นเจ้าของแบตเตอรี่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยส่วนต้นน้ำมีแหล่งแร่ลิเธียม แร่โคบอลต์ ทำให้จีนเป็นเจ้าของกำลังการผลิตแบตเตอรี่รถ EV เกือบ 80% ของกำลังการผลิตโลก ที่สำคัญจีนไม่จำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตรถ EV มาที่ประเทศไทยเลย เพราะว่าข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ที่ไทยทำกับจีนกำหนดให้จีนสามารถส่งรถ EV มาขายในไทยโดยไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว
ส่วนอินโดนีเซียมี 3 จุดแข็งรถ EV ที่ดีกว่าไทย ข้อแรกคือ อินโดนีเซียเป็นแหล่งแร่นิกเกิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งนิกเกิลเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่รถ EV ซึ่งนิกเกิลเป็นแร่ที่มีผลต่อราคาแบตเตอรี่อย่างมากเนื่องจากมีราคาสูงรองจากโคบอลต์และลิเธียม สอง ค่าแรงของอินโดนีเซียถูกกว่าไทย 3 เท่า และสาม ตลาดภายในประเทศอินโดนีเซียใหญ่กว่าไทยเกือบ 4 เท่า ด้วยประชากรกว่า 273 ล้านคน ยอดขายรถยนต์ในอินโดนีเซียเฉลี่ยปีละ 1 ล้านคัน ส่วนยอดขายในไทยเฉลี่ยปีละ 8.6 แสนคัน
ไทยอาจเป็นชาติสุดท้ายฐานการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปโลก
วกกลับมามองประเทศไทย ตัวเลขส่วนแบ่งการส่งออกรถยนต์จากไทยไปตลาดโลกที่ลดลงจาก 1.7% เหลือเพียง 1.3% เป็นสัญญาณที่น่ากลัว เพราะหากยังลดลงอีกจากนี้ไปอาจทำให้การตั้งฐานผลิตยานยนต์ในไทยไม่คุ้มกับต้นทุน อีกปัจจัยหนึ่งคือตลาดส่งออกของไทยส่วนใหญ่เป็นตลาดประเทศพวงมาลัยขวา ซึ่งก็เป็นตลาดขนาดเล็กอยู่แล้ว แค่ 1 ใน 6 ของโลกเท่านั้น บางคนอาจสงสัยว่าแล้วทำไมไม่เปลี่ยนมาผลิตพวงมาลัยซ้ายไว้ใช้ส่งออก คำตอบคือมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเพราะมีต้นทุนในการเปลี่ยนผ่านที่สูงมาก
อีกเรื่องสำคัญ ตามการวิเคราะห์ของ KKP Research ระบุว่าค่ายรถญี่ปุ่นปรับตัวไปสู่ EV ได้ช้าเมื่อเทียบกับค่ายยุโรป แต่ค่ายรถญี่ปุ่นเป็นเสาหลักอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือหากญี่ปุ่นยังไม่ทิ้งไทยไปไหน สถานะของไทยก็อาจจะเป็นชาติท้ายๆ ที่จะเป็นฐานการผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปของโลก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลงเรื่อยๆ
หรือไม่ญี่ปุ่นก็อาจจะทิ้งไทยไปลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศอื่น เพราะไทยเราหมดความน่าสนใจไปแล้ว จุดแข็งที่เคยมีเรื่องต้นทุนแรงงานที่ต่ำก็เริ่มแพงขึ้น อย่าลืมว่าถ้าหันไปมองอินโดนีเซีย ต้นทุนค่าแรงเขาต่ำกว่าไทย 3 เท่า แถมยังมีความได้เปรียบทั้งขนาดตลาดในประเทศและแหล่งแร่สำคัญในการผลิตแบตเตอรี่
EV (อาจ)กระทบอุตฯยานยนต์ไทย-การจ้างงานอาจหายไปครึ่งหนึ่ง
ในเรื่องนี้ KKP Research ระบุว่ายานยนต์ EV กระทบกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมากกว่าที่คิด ที่สำคัญการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถ EV ไม่ใช่แค่แบตเตอรี่ ทว่า ยังเหมารวยมถึงห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์จะเปลี่ยนไปอย่างมาก
KKP Research ยังประเมินด้วยว่า ชิ้นส่วนหลักที่จะหายไปแน่ๆ คือเครื่องยนต์ ระบบจ่ายเชื้อเพลิง และระบบส่งกำลังหรือเกียร์ ซึ่งผู้ผลิตเหล่านี้จะกระทบอย่างมาก รองลงมาคือกลุ่มผู้ผลิตตัวถัง ระบบเบรก ระบบหล่อเย็น ส่วนกลุ่มที่ไม่ค่อยกระทบคือพวกชิ้นส่วนภายใน ล้อ เครื่องเสียง
สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์อาจหายไปครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดกว่า 7-8 แสนตำแหน่ง และต่อให้สมมติว่าไทยปรับตัวและเปลี่ยนผ่านไปเป็นฐานผลิตรถ EV ได้ แต่อุตสาหกรรมการผลิตรถ EV ใช้แรงงานคนน้อยมาก มูลค่าการผลิตจะไปกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่
จาก Detroit of Asia อาจสู่จุดจบ…เหมือนแดนจิงโจ้
ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้จึงนำไปสู่ข้อสรุปว่าอุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเราอาจกำลังเจอกับหายนะจากวงล้อเดิมที่ไทยเป็น Detroit of Asia ไปสู่จุดจบแบบที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศออสเตรเลีย โดยช่วงปี 1970 ออสเตรเลียเคยเป็นฐานการผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก ในสมัยนั้นผลิตรถได้ถึงปีละ 4.65 แสนคัน แต่ช่วงปี 2006-2016 การผลิตรถยนต์ของออสเตรเลียลดลงเหลือเพียง 5,000 คันเท่านั้น ซึ่งช่วงนั้นคือช่วงที่ค่ายรถญี่ปุ่นอย่าง Toyota และ Mitsubishi ตัดสินใจย้ายฐานผลิตมาประเทศไทยแทน
ด้วยกระแสการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถ EV ทำให้ไทยในวันนี้เผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายกับออสเตรเลียในวันนั้นตั้งแต่ต้นทุนแรงงานสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อีกทั้งยังการขับเคลื่อนการปรับตัวไปสู่ EV ช้าของค่ายรถญี่ปุ่นส่งผลเสียต่อภาคการส่งออกรถไทยในตลาดโลกคล้ายออสเตรเลียในตอนนั้นที่ GM Holden ค่ายรถยักษ์ใหญ่ออสเตรเลียปรับตัวไม่ทันกับตลาดโลก ทำให้เสียส่วนแบ่งตลาดและขาด Economy of Scale ไป
และที่คล้ายกันที่สุดคือการที่ไทยมี FTA กับจีน ทำให้จีนส่งรถ EV มาขายในไทยได้โดยไม่ต้องเสียภาษี เช่นเดียวกับออสเตรเลียในวันนั้นที่มี FTA กับ ไทย จึงทำให้การนำเข้ารถยนต์จากไทยถูกกว่าที่ผลิตในประเทศตัวเอง
สถานการณ์ระหว่างไทยกับจีนจึงไม่ได้ต่างจากไทยกับออสเตรเลียเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จากประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากออสเตรเลียสู่ประเทศที่อาจจะมีจุดจบแบบออสเตรเลีย
ดูจากข้อมูลวิจัย KKP Research ดังกล่าวท่ามกลางเทรนด์การเปลี่ยนผ่านโลกยานยนต์เครื่องยนต์สันาดาปสู่ EV ที่ใครต่อใครโลกสวยและวาดฝันว่าเป็นโอกาสทองฝังเพชร ทว่า ที่ไหนได้มันคือจุดหายนะอุตฯยานยนต์ไทยก็เป็นไปได้หากทุกองคาพยพไม่ได้ถูกยกระดับการเดินหน้าในทิศทางที่ควรจะเป็น