บ้านปู เร่งขยายพอร์ตโฟลิโอด้านพลังงานทเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ด้วยการเข้าลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานในเวียดนามผ่านบริษัท BRES ในเครือ Banpu NEXT ที่บ้านปูถือหุ้นร้อยละ 50 โดย BRES ได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นเพื่อเข้าซื้อหุ้นในอัตราร้อยละ 49.04 ของ Solar Esco Joint Stock Company บริษัทพลังงานหมุนเวียนชั้นนำเวียดนามที่ให้บริการแพลตฟอร์มโซลาร์รูฟท็อปแบบครบวงจร คาดกระบวนซื้อขายจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสสอง65 ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเสริมอัตราเร่งเพื่อก้าวสู่เป้าหมายที่จะมี EBITDA มากกว่าร้อยละ 50 จากธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานภายในปี 68
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอดช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา บ้านปูได้เข้าลงทุนพอร์ตพลังงานสะอาดในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำลังการผลิตรวม 218 เมกะวัตต์ สำหรับการลงทุนในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขยายขอบข่ายพอร์ตพลังงานสะอาดของเราสู่ธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานในเวียดนามเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะแพลตฟอร์มโซลาร์รูฟท็อปแบบครบวงจร ส่งผลให้เกิดการประสานพลังระหว่างบ้านปู และ Solar Esco เพื่อส่งเสริมจุดแข็งและต่อยอดธุรกิจซึ่งกันและกัน รวมทั้งการแลกเปลี่ยนความรู้และความเชี่ยวชาญระหว่างกัน ซึ่งเป็นการต่อยอดกลยุทธ์ Greener & Smarter และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศด้านพลังงานของบ้านปู (Banpu Ecosystem) ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น และยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ทันที”
ทั้งนี้ Solar Esco Joint Stock Company เป็นบริษัทด้านพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซลาร์รูฟท็อปแบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมทั้งการวางแผน การพัฒนา ตลอดจนให้บริการแบบ EPC (Engineering, Procurement and Construction) ตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้ง รวมถึงการให้บริการ O&M เดินระบบและดูแลบำรุงรักษาโซลาร์เซลล์ ด้วยประสบการณ์ 15 ปี ในการให้บริการและทำงานร่วมกับกลุ่มพันธมิตรที่หลากหลายทั่วประเทศ ทั้งศูนย์การค้า โรงงานและนิคมอุตสาหกรรม และคลังสินค้า โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 20.4 เมกะวัตต์ และมีกำลังการผลิตที่อยู่ในแผนอีก 106 เมกะวัตต์
การเข้าถือหุ้นใน Solar Esco ด้วยมูลค่าการลงทุน 14.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 466 ล้านบาท) ในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานและขยายแพลต์ฟอร์มพลังงานฉลาดของบ้านปู เพื่อเสริมสร้างธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปในการขยายตลาดและฐานลูกค้าในต่างประเทศ นอกจากนั้น การสร้างพันธมิตรในครั้งนี้ยังส่งผลให้ดีต่อโอกาสใหม่ ๆ ในการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องในอนาคต เช่น การผลิตแผงโซลาร์ ระบบไมโครกริดบนเกาะ กังหันลมขนาดเล็ก และโซลูชันสมาร์ทโฮม เป็นต้น
“การขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่เราดำเนินการควบคู่ไปกับแผนการสร้าง New S-Curve ทั้งการขยายระบบนิเวศทางธุรกิจของบ้านปู เน็กซ์ และการลงทุนในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานใหม่ ๆ เพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจของบ้านปู (Banpu Transformation) โดยมุ่งเน้นโอกาสการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายกำลังการผลิตจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า 6,100 เมกะวัตต์ และสัดส่วน EBITDA จากกลุ่มธุรกิจพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานมากกว่าร้อยละ 50 ในปี 2568 ตอกย้ำจุดยืนที่ต้องการส่งมอบอนาคตพลังงานเพื่อความยั่งยืน” นางสมฤดี กล่าวทิ้งท้าย