เหมือนวนลูปทุกปีแหล่ะครับพี่น้อง ไม่ใช่อะไรที่ไหนหรอกก็ฝุ่นพิษPM2.5 เจ้ากรรมนายเวรคนกรุงและปริมณฑลนี่แหล่ะ และที่ตามมาแม้ไม่ได้เชิญก็มาเช่นกันนั่นก็คือมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นจิ๋วมหาภัยรูทีนวนลูปไปทุกปีจากภาครัฐ ที่ฮิตติดอันดับหนึ่งและดูจะหนาตามากกว่าฝุ่นซะอีกคงหนีไม่พ้นการตั้งด่านจับ-ปรับกินตับรถควันดำ
โดยเฉพาะรถเครื่องยนต์ดีเซลประเภทรถบรรทุกและรถบัสที่ถูกหมายตาเป็นมันทุกปี และถูกชี้ชัดว่าเป็นต้นเหตุเกิดฝุ่น PM2.5 มาจากยานพาหนะถึง 50% และที่สำคัญปีที่แล้วก็พอจะได้ยินข่าวเข้าหูอยู่บ้างว่าจะมีการเพิ่มดีกรีในมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นจะเข้มงวดกวดรถควันดำมากขึ้นจากการกำหนดค่าควันดำเกินมาตรฐานใหม่ ปรับปรุงมาตรฐานให้เข้มงวดขึ้น และกำหนดให้มีการปล่อยควันดำได้น้อยลง
โดยในเรื่องนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดมาตรฐานค่าควันดำของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด พ.ศ.2564 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมมลพิษ แก้ไขปัญหา PM 2.5 จากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทรถยนต์ และสอดคล้องกับการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง
โดยปรับมาตรฐานค่าควันดำจากท่อไอเสียรถยนต์ขณะจอดอยู่กับที่จากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 45% ปรับลดลงมาอยู่ที่ไม่เกิน30% หากเกินจะถูกเปรียบเทียบปรับ 5,000 บาท ซึ่งประกาศดังกล่าวนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่13 เม.ย.65 นี้เป็นต้นไป
เอาแล้งไง?งามไส้มั๊ยล่ะครับพี่น้องสิงห์รถบรรทุกทั้งหลายเตรียมรับชะตากรรมได้เลย ขนาดค่ามาตรฐานเดิมที่ไม่เกิน 45% ยังโดนรุมกินโต๊ะกันถ้วนหน้า นี่ถูกปรับถูกหั่นลดลงมาไม่เกิน 30% รับรองว่าระเบิดเถิดเทิงแน่นอนพระเดชพระคุณท่าน!
ขณะที่กรมการขนส่งทางบก ก็ออกโรงรับลูกการบังคับใช้กฎหมายให้สอดรับกับการปรับเกณฑ์มาตรฐานค่าควันดำรถยนต์และรถขนส่งมาตรฐานเดียวกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทันควันหวังเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมมลพิษ แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยจะใช้เกณฑ์มาตรฐานค่าควันดำใหม่นี้นำมาใช้กับการตรวจควันดำทั้งการตรวจสภาพรถ ณ สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ สถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.)และการตรวจควันดำบนถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ
ทราบข่าวนี้แล้วพี่น้องสิงห์รถบรรทุกเตรียมตัว-ใจ-เงินเพื่อรับมือกับด่านควันดำที่จะออกมาตั้งบริการสุขภาพทางท่อไอเสียหนาตามากขึ้นต้อนรับเกณฑ์ใหม่กับมาตรการแก้ไขปัญหาจิ๋วมหาภัยPM2.5 ที่กลับมาหลอนคนกรุง-ปริมณฑลอีกครั้ง
ช่วงนี้ดูเหมือนเรื่องงามไส้จะรุมเร้าสิงห์รถบรรทุกรอบทิศทาง ไหนจะปวดกบาลกับปัญหาราคาน้ำมันแพงทุบต้นทุนขนส่งดำดิ่งเหวไม่เหลือซาก ทว่า ค่าแรง-ค่าเที่ยวยังเท่าเดิม ไหนต้องเผชิญสงครามตัดหน้าตัดราคากันสุดลิ่มทิ่มประตู พอมาถึงฤดูกาลใหม่ฝุ่นPM2.5กับมาตรการล้อมคอกแก้ไขปัญหาจากภาครัฐ
สิงห์รถบรรทุกก็ไม่วายพ้นบ่วงกรรมซ้ำเติมเข้าไปอีกกับการเผชิญหน้าด่านตรวจสุขภาพควันดำ แจ็คพอตมาก็ต้องสูญเสียสุขภาพการเงินถึง 5 พันบาท แถมรถที่ถูกจับปรับควันดำจะสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ“ห้ามใช้”โดยเจ้าของรถต้องนำรถไปแก้ไขและนำมาตรวจสภาพอีกครั้งจนผ่านการตรวจวัดจึงจะนำไปใช้งานได้
แม้พอจะเข้าใจได้ถึงความมุ่งหวังจากการปรับเกณฑ์มาตรฐานค่าควันดำให้ลดลงนี้ก็ตาม ทว่า ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าใจและนึกถึงหัวอกเจ้าของรถเจ้าของกิจการขนส่งเบี้ยน้อยหอยน้อยทางเลือกไม่เยอะที่ยังต้องพึ่งพาเครื่องมือทำหากินจากรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล และที่สำคัญหากลองพินิจถึงเกณฑ์ความพร้อม-ความเหลื่อมล้ำของผู้ประกอบการ/คุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง/มาตรฐานค่าครองชีพ/เศรษฐกิจโดยรวมแล้วประมวลผลออกมา ดูมันสมดุลหรือยังจาก“เอฟเฟ็กต์”ที่เกิดจากการบังคับใช้นี้?…ที่ดูเหมือนจะหนักหน่วงเกินไปหรือไม่?
เพราะสุดท้ายแล้วสิงห์รถบรรทุกที่ถูกหมายตาเป็นเป้าแรกก็ไม่ต่างอะไรที่พวงเขาจะกลายเป็นสิงห์ควันดำในร่างแพะที่ภาครัฐถูกจับเชือดสู่พิธีกรรมบวงสรวงการบูชายัญฝุ่นปีศาจ PM2.5 ไปเป็นที่เรียบร้อย ดูมันจะโหดร้ายทารุณไปหรือไม่?หากพิจารณาถึงความสมเหตุสมผลที่จะบังคับใช้ทั้งที่บริบทความพร้อมประเทศไทยยังห่างไกลจุดสมดุล
หากไอ้กระผมสามารถพอจะพูดแทนพวกเขาได้บ้าง บอกเลยว่างามไส้&งอมพระรามจริงๆ!
:ปีศาจขนส่ง