‘เฟดเอ็กซ์ฯ’เผยข้อมูลวิเคราะห์เทรนด์ดิจิทัลกำหนดทิศทางอีคอมเมิร์ซยุคต่อไป

0
83

เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (FedEx Express) บริษัทในเครือเฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (FedEx Corp.) (NYSE: FDX) และผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุรายใหญ่ที่สุดของโลกเปิดเผยข้อมูล “เทรนด์ยิ่งใหญ่ของอีคอมเมิร์ซที่น่าจับตามอง’ เพื่อเจาะลึกแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลกด้านอีคอมเมิร์ซ

ข้อมูลดังกล่าวจากเฟดเอ็กซ์ชี้ให้เห็นเทรนด์อันยิ่งใหญ่ด้านดิจิทัล 7 อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก[1] และผลกระทบที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์อีคอมเมิร์ซทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และที่อื่นๆ

สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นตัวผลักดันให้อีคอมเมิร์ซเติบโตทั่วโลก ในขณะที่ธุรกิจทุกขนาดต้องการนำอีคอมเมิร์ซมาใช้ ผู้นำในตลาดอีคอมเมิร์ซก็กำลังคิดหาหนทางเพื่อพัฒนาอีคอมเมิร์ซขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ข้อมูลชิ้นนี้ทำการศึกษาปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภค และยังเปิดเผยเทรนด์ที่ธุรกิจควรนำมาพิจารณาในการวางกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซในระยะยาวของตน

“ผลสำรวจของเราแสดงให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา จะเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตด้านอีคอมเมิร์ซสูงในอีกหลายปีข้างหน้า และด้วยรายได้ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่มากขึ้น และอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ชี้ให้เห็นว่าโอกาสในการเติบโตนั้นยังมีอยู่มากในภูมิภาคนี้” คาวาล พรีท ประธานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (AMEA) ของเฟดเอ็กซ์ เอ็กซเพรส กล่าว “ลอจิสติกส์เป็นส่วนสำคัญของอีคอมเมิร์ซ การคลิกเพื่อซื้ออย่างง่ายๆ จะต้องมีความรวดเร็วและความสะดวกของการจัดส่งมารองรับ เฟดเอ็กซ์ยังคงสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งเพื่อนำเสนอโซลูชั่นด้านซัพพลายเชนที่ชาญฉลาดรวมถึงบริการขนส่งแบบเฉพาะบุคคลเพื่อช่วยปลดล็อคโอกาสใหม่ๆ ให้ธุรกิจต่างๆ พร้อมๆ ไปกับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ

“เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่คาดหวังชีวิตที่มีบริการดิจิทัลที่ทำให้ มีการเชื่อมโยงติดต่อที่น่าตื่นเต้น สามารถแชร์และแบ่งปันสิ่งต่างๆ ได้ ธุรกิจตก็ต้องการที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ ขณะนี้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์อยู่ในจุดเชื่อมระหว่างการจัดการทางกายภาพและดิจิทัล ทำให้เรามีบทบาทสำคัญในอนาคตของอีคอมเมิร์ซ รวมทั้งเพิ่มทางเลือกในการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งแก่ผู้บริโภคและธุรกิจ SME เช่นกัน” พรีท กล่าวสรุป

เป็นที่คาดว่า อีคอมเมิร์ซจะเติบโตโดยเฉลี่ย 47 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลกภายในอีกห้าปีข้างหน้า นำโดยตลาดเอเชียที่ 51 เปอร์เซ็นต์ ยุโรป (42 เปอร์เซ็นต์) และอเมริกาเหนือ (35 เปอร์เซ็นต์) สำหรับในตะวันออกกลางและแอฟริกาคาดว่า มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซโดยรวมน่าจะสูงถึง 73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568[2]  อย่างไรก็ตาม การเติบโตเฉพาะในประเทศจีนก็สามารถบดบังส่วนที่เหลือในเอเชียด้วยยอดขายของอีคอมเมิร์ซในปี 2563 ที่สูงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 [3]แนวโน้มที่สดใสนี้ยังสร้างโอกาสเติบโตอีกมากมายให้กับตลาดลอจิสติกส์อีกด้วย โดยคาดว่า ตลาดโลจิสติกส์ที่เกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ ทั่วโลกจะเติบโตสูงสุดประมาณ 6.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบปีต่อปีระหว่าง 2563-2571 โดยตัวเลขจะเพิ่มเป็น 118,847 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2571[4]

ต่อไปนี้คือ ข้อมูลสำคัญบางส่วนจากการศึกษาครั้งนี้:

1.ประสบการณ์ลูกค้าในนิยามใหม่: การศึกษาครั้งนี้เผยให้เห็น เทรนด์ที่ยิ่งใหญ่หลายประการที่เกี่ยวข้องกันของ เมืองอัจฉริยะ (Smart City) และบ้านเรือน ผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่มีการเชื่อมต่อกัน การตลาดเชิงประสบการณ์ และการพลิกโฉมประสบการณ์ช็อปปิ้ง ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างประสบการณ์ช็อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์เกือบหายไป ในตลาดอย่างประเทศจีน อเมริกาเหนือ และยุโรป ที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่า ผู้บริโภคมักมองหาประสบการณ์ค้าขายที่ดีกว่าผ่านบริการจากเทคโนโลยีเด่นๆ เช่น Cloud Shelf และประสบการณ์เสมือนจริงแบบ Augmented Reality (AR)  สำหรับร้านค้าออฟไลน์ หรือประสบการณ์จริง Virtual Reality (VR) ในการพาทัวร์โรงแรม หรือการไลฟ์สดขายสินค้าผ่านมือถือ และด้วยเทคโนโลยี 5G ธุรกิจต่างๆ จะสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Near Field Communications, Artificial Intelligence บอทเพื่อนำเสนอประสบการณ์ดิจิทัลและบริการที่ปรับตามที่ลูกค้าต้งการ มาสร้างประสบการณ์ค้าปลีกที่มากกว่าการขายสินค้า

ควบคู่ไปกับเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมโลจิสติกส์พยายามมอบข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้า อาทิระบบ FedEx Surround ซึ่งรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับพัสดุที่จัดส่งว่าเดินทางไปถึงจุดไหนแล้ว เพื่อให้ผู้ทำธุรกิจสามารถติดตามการจัดส่งสินค้า และสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงทีเมื่อต้องการ

2.การเข้าถึงส่วนที่ยังเข้าไม่ถึง: เทรนด์สำคัญอีกประการที่กำลังได้รับความสนใจคือ การเปลี่ยนแปลงของตลาดต่างๆ ในขณะที่บางพื้นที่ของโลกกลายเป็นพื้นที่ที่มีการทำฟาร์มมากเกินไป บางพื้นที่มีประชากรมากเกินไป หรือได้พัฒนาไปจนสุดศักยภาพแล้ว ทำให้แบรนด์ต่างๆ หันมามองหาโอกาสในเมืองรองและพื้นที่ชนบทมากขึ้น ส่งผลให้ร้านค้าปลีกในแบบดั้งเดิมหรือร้านเล็กๆ ที่เป็นธุรกิจในครอบครัวหันมาเชื่อมต่อกับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบ B2B และทำการค้าขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ประโยชน์จากโครงสร้างดิจิทัลและการขนส่ง ประกอบกับชนชั้นกลางที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในเมืองรองเป็นปัจจัยที่ทำให้ร้านค้าปลีกในแบบดั้งเดิมหรือร้านเล็กๆ ที่เป็นธุรกิจในครอบครัวในประเทศจีน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางฟื้นตัวด้วยอีคอมเมิร์ซ การแข่งขันในพื้นที่เหล่านี้จะมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปีต่อๆ ไป

การขนส่งข้ามประเทศ เครือข่ายที่ครอบคลุมกว้างขวาง และการเชื่อมต่ออย่างสะดวกราบรื่นจะทำให้มีผู้ค้าขายแบบอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น ผู้ที่จะประสบความสำเร็จคือผู้ที่ปรับตัวได้เร็ว สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกกับลูกค้าและเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวาง

การใช้เงินแลกความสะดวกสบาย: เศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing economy) และการซื้อเวลา เป็นสองเทรนด์หลักที่เรากำลังจะได้เห็น ควบคู่ไปกับสังคมเมืองที่ขยายตัวขึ้น โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ล้ำหน้า และทัศนคติของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปต่อความคิดเรื่องของ ‘ความเป็นเจ้าของ’ ยังคงเป็นตัวผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Shared economy) ซึ่งจะมีส่วนแบ่งตลาดถึง 335 พันล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลกภายในปี 2568[5] โดยในขณะนี้ อเมริกาเหนือและยุโรปกำลังเป็นผู้นำอยู่ในตลาดนี้ อย่างไรก็ตามในประเทศจีน กว่าครึ่งของประชากรคาดว่าจะมีส่วนในเศรษฐกิจดังกล่าว

ความสะดวกสบายเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้แบรนด์ต่างๆ ร่วมมือกันและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตั้งแต่การแบ่งใช้รถยนต์ และการปล่อยเช่าอพาร์ทเม้น ไปจนถึงการรวมกลุ่มของผู้ซื้อ (Group Buying) ความต้องการของผู้บริโภคในบริการแบบใช้ร่วมกันเป็นตัวผลักดันนวัตกรรมที่ล้ำหน้า ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ อีคอมเมิร์ซได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยประหยัดเวลาของผู้บริโภคให้ได้ความพึงพอใจในเพียงคลิกเดียว ขณะเดียวกัน จากการที่ผู้บริโภคมีรายได้มากขึ้น ก็เกิดความต้องการบริการที่ให้ความสะดวกแบบออนดีมานด์ โดย 48% ของผู้บริโภคทั่วโลกเต็มใจใช้เงินเพื่อประหยัดเวลา ส่วนธุรกิจต่างๆ ในอเมริกาเหนือและยุโรปอยู่ในแนวหน้าของเศรษฐกิจบริการแบบ on-demand เนื่องจากศักยภาพมหาศาลที่จะช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งสินค้าถึงหน้าประตูบ้าน

โซลูชั่นเพื่อการทำอีคอมเมิร์ซข้ามประเทศอย่างเช่น FedEx® International Connect Plus (FICP) ซึ่งให้ความคุ้มค่าและการขนส่งที่รวดเร็ว หรือโซลูชั่นที่สามารถจัดส่งได้ตามความต้องการเช่น FedEx® Delivery Manager International ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์มอบบริการแบบเฉพาะบุคคลแก่ลูกค้าและทำให้สามารถบริหารและควบคุมการขนส่งได้ตามต้องการ

อนาคตของอีคอมเมิร์ซอยู่ที่นี่แล้ว สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ เทรนด์อันยิ่งใหญ่เหล่านี้ชี้ให้เห็นทิศทางของธุรกิจนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป การมีระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซที่เน้นด้านดิจิทัลและใช้นวัตกรรมนำ ซึ่งช่วยลดความท้าทายในการรจัดส่งและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เฟดเอกซ์ได้ก้าวหน้าไปหลายก้าวแล้ว โดยร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซและบริษัทเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาซัพพลายเชนของอีคอมเมิร์ซเหล่านั้น และด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Big data เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) และ AI ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีความก้าวหน้าใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน