ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย หรือ HPT ประกาศตัวเลขสะสมตู้สินค้าผ่านท่าเพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์ตลอดช่วงสามไตรมาสตั้งแต่ต้นปี 2564 และยังคงพัฒนาต่อเนื่องด้วยการนำเทคโนโลยีอัตโนมัติมาใช้ รวมถึงการให้ความสำคัญในการป้องกันและดูแลด้านสุขภาพและสุขอนามัยของพนักงานทุกคน เพื่อสร้างความมั่นใจในการให้บริการขนถ่ายตู้สินค้าให้เป็นไปอย่างราบรื่นนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด ทั้งนี้ ท่าเทียบเรือของฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ยังมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานในการอำนวยความสะดวกให้กับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในยามที่ต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ
ด้วยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อทิศทางการค้าโลกที่มีต่อผู้ให้บริการขนส่งตู้สินค้าซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย จึงให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนเพื่อให้มั่นใจได้ว่าพนักงานของบริษัทได้รับการดูแลในด้านสุขภาพพลานามัยอย่างเต็มที่
ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐของไทยในการปรับรูปแบบและกระบวนการทำงาน ที่ให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านหรือมาปฏิบัติงานในที่ทำงานด้วยการกำหนดช่วงเวลาทำงานแบบหมุนเวียน ที่เอื้อต่อการรักษาระยะห่างทางสังคมในสถานที่ทำงาน การบริหารการทำงานพิจารณาจากประเภทของงานให้กับพนักงานที่จำเป็นต้องเข้าปฏิบัติงานในสถานที่ เช่น ผู้ที่ต้องทำงานกับอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในด้านเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากร ในปี 2563 ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการท่าเทียบเรือชั้นนำของโลกที่ใช้เทคโนโลยีรถบรรทุกควบคุมด้วยระบบเอไอ ที่ท่าเทียบเรือชุด D ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือหลักของบริษัทฯ ในท่าเรือแหลมฉบัง ประเทศไทย และยังเป็นท่าเทียบเรือขนถ่ายตู้สินค้าแห่งแรกที่สามารถให้บริการในรูปแบบผสมผสานระหว่างรถบรรทุกตู้สินค้าแบบอัตโนมัติกับรถบรรทุกที่ควบคุมโดยคนขับ (mixed mode terminal operations)
นอกจากนี้ โครงการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนต่าง ๆ ของบริษัทฯ ยังมุ่งเน้นในเรื่องการปกป้องสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมให้เกิดสภาพการทำงานที่ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับพนักงานทุกคน ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องสวัสดิการของพนักงาน ที่รวมถึงการจัดให้มีการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK และการฉีดวัคซีนป้องกันให้กับพนักงาน เพื่อให้ทุกคนสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัย
มร.สตีเฟ้นท์ อาร์ชเวิรท กรรมการผู้จัดการ ฮัทชิสัน พอร์ท ประจำประเทศไทย และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ในการรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ จากสถานการณ์โควิด-19 นั้น ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ได้นำเอามาตรการต่าง ๆ ที่จำเป็นมาใช้ในองค์กรเพื่อให้แน่ใจได้ว่าท่าเทียบเรือของเรายังสามารถเปิดให้บริการแก่ลูกค้าของเราและผู้ใช้บริการท่าเทียบเรือทั้งหลายได้ และขณะที่เรากำลังก้าวสู่ช่วงปลายปี ภาคธุรกิจต่าง ๆ เองก็เดินหน้าเปิดทำการอย่างต่อเนื่อง และด้วยความสามารถของเราในการคงสภาวะการดำเนินงานให้เป็นปกติได้ จึงเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าเรายังคงสามารถให้การสนับสนุนการค้าโลกได้อย่างต่อเนื่อง”
ฮัทชิสัน พอร์ท ประเทศไทย ได้พัฒนาแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ เพื่อให้สามารถเดินหน้าให้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับท่าเทียบเรือตามความต้องการของลูกค้าได้ โดยแผนรองรับนั้นรวมถึงขั้นตอนการตรวจเช็คสุขภาพอย่างเข้มงวด อาทิ การตรวจวัดอุณหภูมิ และการตรวจคัดกรองต่าง ๆ รวมถึงการปรับระเบียบปฏิบัติในการทำงาน เช่น จำกัดการเดินทางและการเข้าออกสถานที่ทำงาน และมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมในบริเวณที่ทำงาน
อุตสาหกรรมการขนส่งและคมนาคมได้รับการคาดหวังไว้ว่าจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้ในปี 2565 และจะสามารถช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย จากที่รัฐบาลให้การส่งเสริมการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ภายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีระดับไฮเอนด์ เป็นต้น
“จากที่เราได้ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง ตลอดจนเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ พร้อมกับการสร้างองค์กรแบบยั่งยืน จึงได้เกิดเป็นผลลัพธ์เชิงบวกแม้จะอยู่ในช่วงที่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย และเรายังพร้อมให้การสนับสนุนเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยมีความเจริญและเติบโตต่อไปได้” มร. สตีเฟ้นท์ อาร์ชเวิรท กล่าวปิดท้าย