ก่อนรูดม่านปีลิงใครต่อใครก็ต่างมั่นใจว่าประชากรคนกรุงจะฤกษ์ได้หย่อนก้นลงนั่งรถเมล์เอ็นจีวีใหม่เรียบร้อย “โรงเรียนเบสท์รินหลินเข่อนัว”หลังต้องนั่งรอนอนรอถ่อสังขารพลางหาวเรอคอยเธอนาน 14 ปีเต็ม ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์รถเมล์เอ็นจีวีที่โคตรดราม่าสุดๆในประวัติศาสตร์
ว่ากันว่าหากจะย้อนรอยโครงการนี้ที่ถูกจุดพลุมาตั้งแต่ปี 2545 ที่ถูกยื้อกันไปมาผ่านห้วงเวลาของรัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่าก็ยังไม่สามารถรูดม่านปิดฉากได้ซักที เหตุติดปมปัญหาและอุปสรรคสารพัดโหมกระหน่ำซ้ำเติมไม่หยุดหย่อน ทั้งปัญหาข้อร้องเรียนล็อคสเปค จัดซื้อแพงเกินโลกมนุษย์จนต้องเปลี่ยนทีโออาร์กันอีกหลายคำรบ ยังไม่รวมถึงไม่มีงบประมาณต้องตัดโครงการออก พอปัดฝุ่นใหม่ผู้รับเหมาก็ยังเจอมุกเก่าซ้ำซากจนวนเวียนไปสู่วงจรอุบาทว์เดิมๆที่กล่าวมา
จนบางคนเลิกฝันไปแล้วไม่รู้ว่าชาตินี้บุญวาสนาของบั้นท้ายจะได้สัมผัสนั่งหรือไม่!
ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะมีผู้ได้-เสียประโยชน์ไม่มีใครยอมศิโรราบให้ใครง่ายๆจึงต้องใช้วิทยายุทธ์เหนือเมฆห้ำหั่นสนั่นกรุงอย่างกะหนังจีนกำลังภายใน
จนกระทั่ง แม้มีการแก้ไขทีโออาร์เปิดกว้างให้เอกชนเข้าแข่งขันได้มากขึ้น สุดท้ายบริษัทเบสริน กรุ๊ป จำกัด ณ หลินเข่อนัวก็เข้าวิน แต่ไม่วายถูกโวยจากบริษัทคู่แข่งว่าติดคดีที่กรมสรรพากรและศุลกากร ฟ้องศาลภาษีอากรกลางฐานสำแดงเท็จเลี่ยงภาษีนำเข้ารถโดยสารโกลเด้น ดราก้อนจากประเทศจีนกว่า 200 คัน โดยศาลพิพากษาให้บริษัทชำระภาษี 232 ล้านบาท คดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ แต่สุดท้ายขสมก. ก็ยืนยันว่าไม่ขาดคุณสมบัติ เพราะไม่ได้ห้ามบริษัทที่มีหนี้สินยื่นประมูล แม้ถูกศาลฯ สั่งชำระภาษีก็ถือเป็นคนละกรณี
หรือแม้กระทั่งรถเมล์ล็อตแรก 100 คันได้พาเหรดขึ้นท่าเรือแหลมฉบัง ก็ไม่วายโดนกรมศุลฯเปรียบเทียบปรับหนักตามระเบียบของอากรและยังถูกเก็บภาษี มูลค่าเพิ่ม (แวต) รวมเป็นเงิน 370 ล้านบาท เหตุสำแดงเท็จใช้ฟอร์มดี (Form D)แสดงแหล่งกำเนิดสินค้าว่าผลิตจากประเทศมาเลเซีย แต่กรมศุลฯตรวจพบว่านำเข้าทั้งคันจากแดนมังกร ส่วนอีก 389 คันต้องเสียภาษีเพิ่มอีกประมาณ 500 ล้านบาท และเมื่อรวมกับค่าปรับของกลุ่มแรก 100 คันแล้ว เบสท์ริน กรุ๊ปต้องจ่ายกรมศุลฯเกือบ 1,000 ล้านบาท
แม้เบสท์รินฯเองก็ออกโรงจะยอมรับและยินดีปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติของกรมศุลกากรทุกประการ ทำให้เส้นทางรถเมล์เอ็นจีวีใหม่ 489 คัน ตามกำหนดการเดิมจะได้ฤกษ์เปิดวิ่งให้บริการพี่น้องประชาชนเช้าตรู่ของวันที่ 21 ธ.ค.ตลอด 22 เส้นทางทั่วกรุงเทพฯ ก็ต้องเลื่อนออกไป และต่างก็คาดหวังรถเมล์ทั้ง 489 คันจะผ่านกระบวนการเสร็จสิ้นและเปิดวิ่งให้บริการหลังแหวกม่านเทศกาลปีใหม่
แต่แล้วหลังเบิกม่านฟ้าปีไก่ฟ้าก็ผ่าความหวังคนกรุงที่จะได้ฤกษ์บรรจงบั้นท้ายสัมผัสรถเมล์ใหม่ เมื่อเบสท์ริน กรุ๊ปไม่สามารถส่งมอบรถให้กับขสมก.ได้หลังครบครบกำหนดเส้นตายตามสัญญาส่งมอบรถเมล์เอ็นจีวี 489 คันในวันที่ 29 ธ.ค.2559 โดยอ้างว่าอยู่ระหว่างรอกรมศุลฯประเมินภาษีรวมทั้งอยู่ระหว่างรอคำตอบจากรัฐที่ขอนำรถออกเพื่อส่งมอบก่อนแล้วค่อยไปสู้กันทางศาล
แต่กรมศุลฯและขสมก.ไม่อาจยินยอมได้ เพราะถือว่าไม่ใช่หน้าที่ของรัฐจะไปแก้ปัญหาให้ใคร!
จากนี้ไปก็เป็นเรื่องที่ขสมก.ต้องดำเนินการตามสัญญาปรับคันละ 17,000 บาท หรือเกือบ 8 ล้านบาท/วันจนกว่าจะหมดหลักประกัน 330 ล้านบาท จากนั้นต้องขึ้นแบล็กลิสต์เบสท์ริน กรุ๊ปมีฐานะผู้ทิ้งงานที่ต้องห้ามประมูลงานรัฐ และในอนาคตอันหากขสมก.เปิดประมูลโครงการใหม่ และยังต้องไล่เบี้ยความเสียหายเอากับบริษัทเอกชนรายนี้อีก
กับความหวังที่ใครต่อใครก็ต่างมองว่าจะเป็นการปิดฉาก14 ปีที่ขมขื่น มหากาพย์รถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน และมอบเป็นของขวัญปีใหม่คนกรุง แต่ที่ไหนได้กลับตาลปัตรความฝันที่คาดจะเป็นจริงก็ต้องพังครืนล้มไม่เป็นท่า เส้นทางเมล์เอ็นจีวี 489 คันต้องห้อยแต่งบนเส้นด้ายอีกครั้งและต้องหาวเรอรอต่อไป
สำหรับ ปีศาจขนส่ง แล้ว บอกได้คำเดียวครับ อนาถใจจริง…จิงกาเบลขนาดแท้ จริงหรือไม่จริงถามใจท่านดู!!!?