วันนี้ (7 มิ.ย. 64) เมื่อเวลา 08.30 น. ณ สถานีกลางบางซื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ณ สถานีกลางบางซื่อ โดยมีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ให้การต้อนรับ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเรื่องของการฉีดวัคซีน โดยได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ มีแผนการกระจายวัคซีน 3 ช่องทาง คือ 1.ผ่านระบบหมอพร้อม ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนประมาณ 7 ล้านคน 2. ช่องทางเสริมระบบหมอพร้อม โดยการลงทะเบียนที่จุดบริการฉีดวัคซีน ในกรณีที่มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ 3. การกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ โดยการจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ อาทิ ประชาชนกลุ่มเสี่ยง กลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยสามารถยื่นเรื่องให้กับกระทรวงสาธารณสุขจัดสรรวัคซีนได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าทุกคนในประเทศไทยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนได้อย่างทั่วถึงแน่นอน โดยวันนี้ ถือเป็นวาระที่ดีที่เราทุกคนจะต้องให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่มาช่วยอำนวยความสะดวก ในการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นอกโรงพยาบาลแก่ประชาชนไม่เฉพาะที่สถานีกลางบางซื่อ แต่รวมถึงศูนย์ฉีดวัคคซีน ทั่วกรุงเทพฯ ด้วย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ภายหลังจากเปิดให้สถานีกลางบางซื่อเป็น “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” มาระยะหนึ่ง ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผู้ให้บริการด้านการขนส่งสาธารณะทุกประเภทและส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจในกำกับดูแลของกระทรวงคมนาคม เข้ามารับบริการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยมากกว่า 10,000 คนต่อวัน โดยรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายฉีดวัคซีนแบบปูพรม ในกรุงเทพฯที่เป็นพื้นที่เสี่ยงสูงและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคนหรือ 70% ของประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ได้ภายใน 2 เดือน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้พยายามเร่งจัดหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนได้เพียงพอตามเป้าหมาย ดังนั้นผู้ที่จะเข้ามารับบริการฉีดวัคซีน จะต้องลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นหมอพร้อมเพื่อรับคิว หรือลงทะเบียนผ่านผู้ให้บริการระบบมือถือ เพื่อมารับบริการที่สถานีกลางบางซื่อ เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้จัดเตรียมพื้นที่ของสถานีกลางบางซื่อ จำนวน 14,294 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เก็บวัคซีน และพื้นที่สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอีกด้วย รวมทั้งได้เตรียมโต๊ะจำนวน 400 ตัว เก้าอี้ 5,000 ตัว และรถพยาบาลจากโรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์กรณีฉุกเฉิน โดยภายในพื้นที่แบ่งเป็น 4 จุด จุดแรกเป็นจุดคัดกรอง แบ่งเป็น 4 โซน จุดที่ 2 เป็นพื้นที่ลงทะเบียนข้อมูลและเซ็นใบยินยอม รองรับได้ 260 โต๊ะ จุดที่ 3 จุดฉีดวัคซีน รองรับได้ 100 โต๊ะ จุดที่ 4 จุดพักรอสังเกตอาการ มีประมาณ 1,400 ที่นั่ง โดยจะสามารถรองรับการฉีดวัคซีนได้ประมาณ 900 คนต่อชั่วโมง หรือ 10,000 คนต่อวัน เป็นอย่างน้อย โดยตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 6 มิถุนายน สามารถฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกว่า 154,637 คน แบ่งเป็นบุคลากรด้านการขนส่ง 133,894 คน และหน่วยงานอื่นๆ อีก 20,743 คน
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ดูแลการเดินทางมายังสถานีกลางบางซื่อ ให้มีความหลากหลายและสะดวกสบาย เช่น เดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้า BTS ระบบเรือโดยสาร และรถขนส่งมวลชนสาธารณะ โดยได้จัดรถโดยสารปรับอากาศ รับ-ส่งประชาชน จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ 1) ท่าน้ำบางโพ-สถานีเตาปูนสายสีม่วง 2) อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 3) ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว-รถไฟฟ้า BTS สถานีหมอชิต หรือรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสวนจตุจักร-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ หรือหมอชิต 2 เพื่อเชื่อมมายังสถานีกลางบางซื่อ นอกจากนี้ยังจัดรถ Shuttle Bus จำนวน 6 คัน เพื่อรับ-ส่งผู้ใช้บริการภายในสถานีกลางบางซื่อด้วย ส่วนผู้ที่เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว ก็มีลานจอดรถที่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอกว่า 1,500 คัน ทั้งนี้ “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” เปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน จนถึงสิ้นปี 2564 โดยให้บริการในระหว่างเวลา 09.00-20.00 น.
ทั้งนี้ การจัดตั้ง “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” ในครั้งนี้ ไม่กระทบต่อแผนการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่จะเริ่มเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการในเดือนกรกฎาคม 2564 และเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบในเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยกระทรวงคมนาคมมั่นใจว่าการเปิดให้บริการจะเป็นไปตามกำหนดเดิมอย่างแน่นอน