BEST Express (เบสท์ เอ็กซ์เพรส) แฟรนไชส์ขนส่งพัสดุด่วนชั้นเจ้าแรก-หนึ่งเดียวในไทยเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์หลักในพื้นที่ต่าง ๆเข้ามาคว้าโอกาสสร้างผลกำไรและเป็นเจ้าของธุรกิจขนส่งพัสดุด่วน ตอกย้ำความสำเร็จจากจำนวนนักลงทุนที่สนใจเข้ามาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กว่า 200 รายกระจายอยู่ทั่วประเทศหลังเปิดดำเนินการธุรกิจ เบสท์ เอ็กซ์เพรสในระยะ 2 ปีกับ 800 สาขาที่ให้บริการครอบคลุม 77 จังหวัด
นายพงศ์ วณิชย์มณีบุษย์ เจ้าของและกรรมการบริหาร แฟรนไชส์ BEST Express ศูนย์บริการสาขา พระนครศรีอยุธยา หนึ่งในนักลงทุนเปิดธุรกิจแฟรนไชส์กับ เบสท์ เอ็กซ์เพรส ที่สามารถสร้างยอดขนส่งพัสดุด่วนเติบโตได้ถึง 7 เท่าภายในระยะเวลา 2 ปี เผยถึงจุดเริ่มต้นในการลงทุนและเคล็ดลับการทำธุรกิจแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุด่วนกับ เบสท์ เอ็กซ์เพรส ว่า ก่อนหน้าที่จะเข้ามาลงทุนกับ เบสท์ เอ็กซ์เพรส เริ่มต้นจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน และหลังจากนั้นไม่นานก็ออกมาทำธุรกิจของตนเอง ลองทำมาหลากหลายธุรกิจ จนได้มาลงทุนกับ เบสท์ เอ็กซ์เพรส ซึ่งก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีโอกาส และมีแนวโน้วที่เติบโตกว่าธุรกิจอื่น ๆ ที่ทำอยู่
“โมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ของ เบสท์ เอ็กซ์เพรส เป็นขนส่งพัสดุด่วนเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทยที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการในพื้นที่เปิดแฟรนไชส์ 100% เสมือนมีโฉนดที่ดินอยู่ในมือ หมายความว่า ผมลงทุนเปิดแฟรนไชส์ เบสท์ เอ็กซ์เพรส อยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ดังนั้นทั้งจังหวัดอยุธยาถือเป็นกรรมสิทธิ์ของผมทั้งหมด ดังนั้นนักลงทุนรายอื่น ๆ จะไม่สามารถเข้ามาทำธุรกิจ เบสท์ เอ็กซ์เพรส ในอยุธยาได้ และแน่นอนว่าหลังจากได้ลงมาทำธุรกิจแฟรนไชส์กับ เบสท์ เอ็กเพรส ก็ยิ่งเห็นโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะ เบสท์ เอ็กซ์เพรส เติบโตอย่างรวดเร็ว จากวันแรกที่มีพัสดุเข้ามาที่สาขา 500 ชิ้นต่อวัน ปัจจุบันนี้มีพัสดุมากถึง 3,500 ชิ้นต่อวัน เติบโตมหาศาล 7 เท่าภายในระยะเวลา 2 ปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาดมาก”นายพงศ์ กล่าว
สำหรับการบริหารจัดการพัสดุส่งด่วนที่มีปริมาณมากขึ้นในทุก ๆ วัน มีเคล็ดลับในการทำธุรกิจ คือ เรื่องแรกที่ต้องให้ความสำคัญคือ “การบริหารจัดการ” เพราะ เบสท์ เอ็กซ์เพรส คือ พัสดุส่งด่วน ดังนั้นการวางแผนการส่งสินค้าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งเริ่มจากการประเมินพัสดุส่งด่วนในแต่ละวัน หลังจากนั้นแบ่งพื้นที่การจัดส่งให้ให้ละเอียดที่สุด ยกตัวอย่างเช่น พัสดุส่งด่วนทั้งหมด 3,500 ชิ้น แบ่งพัสดุในแต่ละพื้นที่ให้เหลือไม่เกิน 1,500 ชิ้นต่อพื้นที่ เพื่อให้การส่งพัสดุด่วนมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เรื่องที่สอง คือ การวางกลยุทธ์การตลาด นักลงทุนต้องเข้าใจพื้นที่ที่ตนเองดูแล รู้ว่าตนเองและคู่แข่งมีจุดแข็งและจุดอ่อนอะไร เพื่อนำมาปรับและพัฒนาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค รวมถึงพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ยกตัวอย่างเช่น ระบบการรับส่งพัสดุด่วนมี 2 ขาหลัก ๆ คือ ขารับพัสดุ และขากระจายพัสดุ สำหรับขารับพัสดุ นอกจากรับพัสดุจากลูกค้า Walk-in แล้ว ผู้ประกอบการต้องพยายามทำยอดจากการหาลูกค้าเพิ่ม ซึ่งกลุ่มที่มีพฤติกรรมการส่งพัสดุจำนวนมากที่เห็นได้เด่นชัด คือ กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าธุรกิจออนไลน์ ดังนั้นกลยุทธ์คือการเสาะหาและเข้าไปทำความรู้จักเพื่อจีบให้เขามาส่งพัสดุกับเรา
ในส่วนของขากระจาย สิ่งที่สำคัญ คือ การบริหารคน เพราะการกระจายพัสดุต้องใช้คนเป็นจำนวนมาก ทำอย่างไรให้ทีมงานอยากทำงานกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน ลูกน้องต้องอยู่ได้ และอยู่อย่างมีความสุข ดังนั้นกลยุทธ์ คือ การจัดเส้นทางส่งพัสดุให้ถูกทิศทาง เพื่อย่นระยะเวลาการจัดส่งและทำให้การส่งพัสดุด่วนมีประสิทธิภาพมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เป้าหมาย คือ การส่งพัสดุอย่างต่ำประมาณ 70 ชิ้นต่อคนต่อวัน และต้องส่งสำเร็จอย่างน้อย 95% เป็นอย่างต่ำ ซึ่งหมายความว่าไม่ว่าในวันนั้นพัสดุจะเข้ามาในสาขามากแค่ไหน จะต้องระบายออกให้หมดไม่ให้เหลืออยู่แม้แต่ชิ้นเดียว จึงจะตอบโจทย์ของคำว่า “เอ็กซ์เพรส” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจขนส่งพัสดุด่วน และเรื่องสุดท้าย คือ การจัดการบัญชีและการเงิน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการทำธุรกิจทุกประเภท เพราะหากไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แม้จะทำยอดขายได้ดีแต่เงินภายในอาจจะไม่เพียงพอต่อการหมุนเวียนธุรกิจ
“ทำธุรกิจกับ เบสท์ เอ็กซ์เพรส ไม่ยากเลยครับ เพราะทาง เบสท์ เอ็กเพรส มีการจัดฝึกอบรมก่อนลงสนามจริงโดยจะสอนพื้นฐานการทำธุรกิจสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในธุรกิจเอ็กซ์เพรสหรือขนส่งพัสดุด่วน ส่วนเรื่องเทคนิคการทำธุรกิจผมแนะนำให้ศึกษาจากแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จแล้วจากบทความที่ทาง เบสท์ เอ็กซ์เพรส จัดทำขึ้นไว้ หรือหมั่นพูดคุยและศึกษาจากพวกเขาให้ได้มากที่สุด” นายพงศ์ กล่าวปิดท้าย