Multi-tenant Cloud จะขึ้นแท่นเป็นมาตรฐานสูงสุด ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงกระบวนการจ้างงาน และจะเป็นเทคโนโลยีสำคัญด้านการดูแลสุขภาพ ดิจิทัลซัพพลายเชนจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว
คลาวด์
เทคโนโลยีคลาวด์จะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับการจัดการแข่งขันต่าง ๆ
การจัดแข่งขันเทนนิสยูเอสโอเพ่นปีนี้ประสบความสำเร็จในการนำระบบคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ยกระดับประสบการณ์เสมือนจริงให้กับเหล่าแฟนคลับที่ไม่สามารถอยู่ในสนามแข่งขันจริงได้ และต่อจากนี้เราจะได้เห็นการจัดงานต่าง ๆ ที่ต้องจัดในสถานที่หันมาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์ เพื่อมอบประสบการณ์ที่เหมาะสมกับผู้รับชมแต่ละรายมากขึ้น การแข่งขันสำคัญหลายรายการที่วางแผนไว้ในปีหน้า (2564) จะดึงดูดความสนใจผู้คนจากทั่วโลก เช่น การแข่งขันโอลิมปิคฤดูร้อนที่กรุงโตเกียว และการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน และแน่นอนว่าเทคโนโลยีคลาวด์ก็ยืนหยัดพร้อมพลิกโฉมประสบการณ์ในการชมการแข่งขันที่แฟน ๆ ทั่วโลกเคยได้รับอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการสร้างประสบการณ์การรับชมรูปแบบใหม่อย่างเต็ม
รูปแบบ ความเป็นไปได้ในการใช้เทคโนโลยีคลาวด์มาทรานส์ฟอร์มการจัดงานต่าง ๆ นั้นมีมากมายมหาศาล เช่น การวิเคราะห์ความตื่นเต้นของกลุ่มผู้ชมแบบเรียลไทม์ เพื่อนำเสนอเป็นไฮไลท์และจัดการเรื่องการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ, การฟีดรายการสดได้ด้วยความหน่วง (latency) ที่ต่ำมากจริง ๆ และการโต้ตอบกับกลุ่มผู้ชมที่เลือกไว้ และแน่นอนว่าการทำกิจกรรมทั้งหมดนี้ โฮสต์อยู่บนแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ทรงพลัง
Multi-tenant cloud จะเป็นระบบใหม่ที่เหมาะสมที่สุด
การใช้โซลูชั่น multi-tenant คลาวด์ จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ อัปเดตโซลูชั่นต่าง ๆ ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องทำการอัปเดตแบบแมนนวลด้วยตนเองหรือต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ เพื่อให้รองรับแอปพลิเคชั่นหรือเวิร์กโหลดใหม่ ๆ การที่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ที่ดูเหมือนจะมีความไม่แน่นอนมากขึ้น โซลูชั่น multi-tenant cloud จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจมีความคล่องตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ และช่วยให้ธุรกิจเข้าใกล้เป้าหมายด้านความยั่งยืนมากขึ้น
ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
AI จะทำให้กระบวนการจ้างงานเปลี่ยนแปลงไป
ตลาดแรงงานปี 2564 ที่ไม่สามารถคาดการณ์ใด ๆ ได้ ทำให้องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปช่วยในการเฟ้นหาผู้สมัครที่เหมาะสมกับตำแหน่งงาน AI จะช่วยให้แผนกทรัพยากรบุคคลทำงานเชิงรุกในการจ้างงานได้มากขึ้น และช่วยให้สามารถตัดสินใจได้ว่าผู้สมัครใดเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทด้วยการใช้ข้อมูลเพื่อวัดคุณภาพของการจ้างงานแต่ละครั้ง นวัตกรรมต่าง ๆ เช่น ซอฟต์แวร์ในการคัดกรองอัจฉริยะที่สามารถคัดกรองใบสมัครได้แบบอัตโนมัติ แชทบอทที่ทำหน้าที่เป็นผู้สรรหาพนักงานที่สามารถนัดหมายกับผู้สมัครได้แบบเรียลไทม์ และการสัมภาษณ์แบบดิจิทัลที่ทำผ่านออนไลน์ ซึ่งช่วยให้สามารถประเมินความเหมาะสมของผู้สมัครแต่ละรายได้ จะเริ่มกลายเป็นวิธีการทำงานปกติของแผนกทรัพยากรบุคคล AI ยังมีศักยภาพสูงมากในการสร้างเวิร์กสเปซที่หลากหลายและครบวงจร สามารถลดอคติ และเพิ่มความเป็นกลางในการตัดสินใจเรื่องการจ้างงานผ่านอัลกอริทึ่มต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งจะแยกแยะคุณสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างกันของผู้สมัครแต่ละคนออกมาให้เห็น
การใช้ AI ในการดูแลสุขภาพจะกลายเป็นภารกิจสำคัญ
ตลอดปี 2564 จะมีการนำ AI ไปใช้กับการดูแลสุขภาพในหลายด้านอย่างรวดเร็ว การใช้แมชชีนเลิร์นนิ่งกับชุดข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลกได้แบบเรียลไทม์ จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพสามารถติดตามการสัมผัสระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้อย่างละเอียด, ช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำ, ใช้การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์ในการติดตามอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (personal protective equipment: PPE), จัดสรรบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาการให้วัคซีนให้มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนมากขึ้น
ซัพพลายเชน
ซัพพลายเชนจะกลายเป็นระบบดิจิทัลอย่างรวดเร็ว
โควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงทำให้ดิจิทัลซัพพลายเชนพัฒนาอย่างรวดเร็วในปี 2564 มุมมองเดิม ๆ ของผู้รับผิดชอบด้านซัพพลายเชนที่เกี่ยวกับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นคือ เน้นไปที่เรื่องของประสิทธิภาพและค่าใช้จ่าย แต่ปัจจุบันจะเปลี่ยนไปเน้นในเรื่องของความคล่องตัวและความยืดหยุ่น และนั่นคือจุดที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง ดิจิทัลซัพพลายเชนจะช่วยให้ธุรกิจหนึ่ง ๆ ที่ประกอบด้วยองค์กรหลายแห่งทำงานร่วมกัน (multi-enterprise) สามารถเห็นและรับรู้ความเป็นไปในการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ สามารถวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ได้ดีขึ้น และใช้ระบบอัตโนมัติที่ชาญฉลาดได้มากขึ้น ผู้รับผิดชอบด้านซัพพลายเชนจะสามารถปรับและใส่ความยืดหยุ่นให้กับระบบซัพพลายเชนของตนได้ตามความต้องการของตลาด และใช้ระบบนิเวศด้านพันธมิตรให้เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น เครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ เหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีที่ผสานระหว่างโลกความจริงและความเสมือนจริงเข้าด้วยกัน (AR) และการทำงานอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ที่มนุษย์เป็นผู้ออกแบบกระบวนการและขั้นตอน รวมถึงการตัดสินใจต่าง ๆ (robotic process automation: RPA) และคาดว่าจะยกระดับศักยภาพที่มีอยู่ในช่วงต้นให้เป็นการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่น่าสนใจและมีอิทธิพลต่อลูกค้าเป็นอย่างมาก
AI มีความสำคัญมากต่อการจับคู่อุปสงค์และอุปทานแบบเรียลไทม์
การถูกดิสรับ (disruptions) ของระบบซัพพลายเชนอย่างไม่น่าเชื่อที่เกิดขึ้นในปี 2563 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการจับคู่ความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่มีในตลาด ณ ขณะใดขณะหนึ่งเข้าด้วยกันได้แบบเรียลไทม์ และการคาดการณ์ต่าง ๆ ไม่ใช่งานที่มนุษย์จะทำได้สำเร็จเพียงลำพังอีกต่อไป มันไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไปที่จะมาคาดหวังให้ผู้รับผิดชอบด้านซัพพลายเชนทำการคาดการณ์ถึงการปิด-เปิดของตลาดในประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างฉับพลัน หรือให้มาอธิบายถึงวัสดุ และค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดยคาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ ขอบเขตและข้อจำกัดด้านการขนส่งและการเดินทางของภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในปี 2564 เราจะได้เห็นผู้บริหารด้านซัพพลายเชนเร่งนำ AI มาใช้เพิ่มพูนประสบการณ์ และเสริมความมั่นใจในการทำงานให้กับพนักงาน, ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์เกี่ยวกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงให้กับพนักงานของตน เพื่อให้สามารถคาดการณ์อุปสงค์ และอุปทานแบบเรียลไทม์ได้อย่างแม่นยำ
บทความโดย นายฟาบิโอ ทิวิติ รองประธานบริษัท อินฟอร์ อาเชียน