ไปรษณีย์ไทย จุดพลุแคมเปญไปรษณีย์ reBOX ยอดรีไซเคิลกล่องพัสดุ – ซองกระดาษจากคนไทยทะลุ 7 หมื่นกิโล พร้อมนำชุดโต๊ะ เก้าอี้จากกล่อง/ซองของคนไทย ส่งไปรฯ ให้ถึงน้องๆ โรงเรียน ตชด. ทั่วประเทศพร้อมกัน 2 ธันวาคมที่ผ่านมา
นายสำเริง ชื่นศิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ด้านปฏิบัติการภูมิภาค 2 สายงานปฏิบัติการ) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า จากแคมเปญ “ไปรษณีย์ reBOX เปลี่ยนกล่อง/ซอง เป็นของขวัญปีใหม่ 2564” ที่ไปรษณีย์ไทยเชิญชวนลูกค้า ประชาชนรวบรวมกล่อง/ ซองที่ไม่ใช้แล้วไปให้ที่ไปรษณีย์ทั่วประเทศ และจุดรับตามหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม ถึงวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีจากคนไทย โดยไปรษณีย์ไทยได้รับกล่อง/ ซองไม่ใช้แล้วรวมกว่า 71,200 กิโลกรัม ซึ่งถือได้ว่าโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบปริมาณการใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องพบว่า หากนำกล่องและซองเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ใหม่จะช่วยลดการตัดต้นไม้ได้กว่า 1,207 ต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 284,000 กิโลวัตต์ ลดคาร์บอนฟุตปริ้นต์ที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์และเป็นตัวการของภาวะโลกร้อนได้ 48,280 กิโลกรัม สามารถลดการใช้น้ำมันที่เกิดจากกิจกรรมการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกถึง 26,980 แกลลอน นอกจากนี้ยังสามารถลดการใช้น้ำได้ 497,000 แกลลอน โดยแคมเปญ ไปรษณีย์ reBOX เป็นโครงการต้นแบบที่ไปรษณีย์ไทยจะยึดถือเป็นแนวทางสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ พร้อมต่อยอดไปสู่กับกิจกรรมอื่นๆ ตามแนวคิด Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียนในอนาคตต่อไป
ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทยได้ส่งต่อกล่อง/ซองจากคนไทยให้ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) แปรรูปเป็นชุดโต๊ะ เก้าอี้ เพื่อส่งมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 ซึ่งขณะนี้ชุดโต๊ะ เก้าอี้ ผลิตเสร็จแล้วพร้อมส่งมอบให้กับเด็กๆ นักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทั่วประเทศพร้อมกันในวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยไปรษณีย์ไทยจะขนส่งชุดโต๊ะเก้าอี้ไปมอบให้กับกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน 16 แห่ง เพื่อกระจายต่อไปยังโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทย นำร่องจัดกิจกรรม “ส่งสุข reBOX 2564” ส่งมอบชุดโต๊ะ เก้าอี้ให้กับ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนไปรษณีย์ไทย (บ้านห้วยหมากหล่ำ) จ.อุดรธานี เป็นแห่งแรก
นายสำเริง กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการส่งต่อของขวัญทางด้านการศึกษาแล้ว ไปรษณีย์ไทยยังได้นำหน่วยงานพันธมิตร และภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี มาร่วมสนับสนุนงานพัฒนาพื้นที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนไปรษณีย์ไทย (บ้านห้วยหมากหล่ำ) อาทิ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน 24 ร่วมพัฒนาสภาพแวดล้อม และภูมิทัศน์ของโรงเรียน วิทยาลัยเทคนิคอุดรธานีและวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี ร่วมพัฒนาสร้างห้องน้ำ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี พัฒนาสื่อการสอนสำหรับนักเรียน ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด จังหวัดอุดรธานี สนับสนุนพันธุ์ปลา และให้ความรู้ในการทำธนาคารปลา เพื่อให้มีโรงเรียนและชุมชนมีปลาบริโภคตลอดทั้งปี เกษตรจังหวัดอุดรธานี สนับสนุนการปลูกพืชผักสวนครัว และให้ความรู้ในการขยายพันธุ์และเก็บเมล็ดพันธ์ สำนักงานชลประทานที่ 5 จังหวัดอุดรธานี จัดสรรน้ำ ปรับปรุงแก้ไข และบำรุงรักษาคุณภาพของน้ำ การประปาส่วนภูมิภาคเขต 7 สนับสนุนด้านคุณภาพน้ำดื่ม ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย ร่วมสนับสนุนของบริจาคให้โรงเรียน และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT สนับสนุนระบบไอโอทีเทคโนโลยีสมาร์ตฟาร์ม อุปกรณ์เซ็นเซอร์ควบคุมน้ำและความชื้นเพื่อพัฒนาเกษตรอัจฉริยะให้กับนักเรียนได้เรียนรู้เทคโนโลยีด้านการเกษตร และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง
นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังให้การสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างอาคารเรียน โรงอาหาร หอพักครู ห้องน้ำ รวมทั้งครุภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการศึกษา ให้กับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนไปรษณีย์ไทย (บ้านห้วยหมากหล่ำ) เพื่อให้เยาวชนในพื้นที่ได้เรียนในโรงเรียนที่มีความพร้อมทั้งด้านสภาพแวดล้อม และสื่อการเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน พร้อมเป็นการสร้างเสริมโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนได้เรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไกล นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับเครือข่ายทั้งในด้านการศึกษา เทคโนโลยี การส่งเสริมอาชีพ รวมถึงในด้านสาธารณูปโภค ส่งต่อความพร้อมในมิติต่าง ๆ เพื่อเติมเต็มให้โรงเรียนมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยอาคารเรียนจะสามารถเปิดใช้งานได้ภายในปี 2564
อนึ่ง ไปรษณีย์ไทยยังได้เตรียมกิจกรรมเพื่อส่งมอบความสุขและของขวัญให้คนไทยในทุกพื้นที่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 หลากหลายรูปแบบ อาทิ การช่วยขน ช่วยขายสินค้าเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย – รายได้ พร้อมสนับสนุนให้คนไทยสามารถเลือกซื้อของดีได้จากผู้ผลิตทั่วประเทศ การอำนวยความสะดวกในด้านการขนส่งและการสื่อสารด้วยมาตรฐานที่มีความรวดเร็วปลอดภัย เข้าถึงทุกพื้นที่โดยไม่มีวันหยุด รวมถึงการเพิ่มระบบเทคโนโลยีและดิจิทัลในด้านงานบริการ เพื่อตอบโจทย์กับทุกไลฟ์สไตล์ ในฐานะเพื่อนแท้ของคนไทยอย่างแท้จริง นายสำเริง กล่าวปิดท้าย