ราคาข้าวที่ตกต่ำ มีต้นทุนการผลิตสูง หรือการเป็นหนี้ ล้วนเป็นปัญหาเรื้อรังของชาวนาไทย ทั้งๆ ที่เคยเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 ของโลก ชาวนาซึ่งเป็นประชากรหลักของประเทศยังคงมีฐานะยากจนอยู่เมื่อเทียบกับชาวนาญี่ปุ่น ที่แม้จะมีพื้นที่ทำนาน้อยกว่าแต่กลับมีฐานะความเป็นอยู่ดีกว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกษตรกรญี่ปุ่นมีความเป็นอยู่ที่ดี เกิดจากมีการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ที่เข้มแข็งและมีการใช้นวัตกรรมในระบบการผลิต ปัจจุบันหลายภาคส่วนของไทย ได้พยายามเสนอแนวทางแก้ปัญหาข้าวราคาตกต่ำโดยการรับซื้อขายข้าวทางออนไลน์ การระดมทุน การเปิดจุดบริการรับซื้อข้าวจากชาวนา เป็นต้น วิธีการเหล่านี้แม้จะแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของคนไทย แต่ยังคงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและไม่ยั่งยืน ดังนั้นการสร้างความเข้มแข็งให้ชาวนาจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน การรวมกลุ่มที่เข้มแข็งของชาวนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบสหกรณ์ที่มีการบริหารการเงินที่เหมาะสม มีการสร้างโรงสีชุมชน มีการจัดสรรเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ใช้ในชุมชน มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี เช่น การปลูกแบบเปียกสลับแห้ง การทำเกษตรอินทรีย์ การใช้ปุ๋ยสั่งตัด และนวัตกรรมเพื่อแปรรูปหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าข้าว ฯลฯ จะทำให้ชาวนาสามารถวางแผนและจัดการการผลิตได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถลดต้นทุนการผลิต ขายสินค้าอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในรูปข้าวสดเพียงอย่างเดียว มีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยโครงการกิจกรรมการเชื่อมโยงงานวิจัยกับภาคนโยบาย จึงจัดประชุมเวที TRF Forum เรื่อง “การแก้ปัญหาเรื่องข้าวอย่างยั่งยืน : สหกรณ์และนวัตกรรมคือทางออก” ณ โรงแรมเดอะสุโกศล เพื่อนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องข้าวอย่างยั่งยืนในเชิงนโยบายแก่กระทรวง ทบวง กรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายในเวทีเสวนาดังกล่าวช่วงที่ 1 “การรวมกลุ่มและสหกรณ์…หนึ่งในทางออกของชาวนา” นายบุญเกิด ผจก.สหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ได้กล่าวถึงสถานการณ์ที่สหกรณ์การเกษตรต้องเผชิญ ว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาราคาข้าวตกต่ำอย่างถึงขีดสุด โครงการที่รัฐช่วยชาวนา ขายข้าวออนไลน์ เป็นการทำให้ผู้ผลิตพบกับผู้บริโภคโดยตรงและเป็นช่องทางการตลาดให้กับสหกรณ์ ทั้งนี้การจัดตั้งสหกรณ์ก่อให้เกิดการร่วมด้วยช่วยกันของพันธมิตร แต่ต้องมีความรู้เข้าไปหนุนเสริม และมีการสร้างแบรนด์ในสินค้าข้าว โดยหากรัฐอยากให้สหกรณ์ช่วยเหลือชาวนาเต็มศักยภาพ สหกรณ์จะต้องมีอุปกรณ์ในการดำเนินการที่พร้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรงสี คน ทุน โรงอบ ฉางเก็บข้าวเลือก ฯลฯ
ด้าน นายอดุลย์ โคลนพันธุ์ ผู้อำนวยการเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ข้าวสัจธรรมอำนาจเจริญ กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาข้าวล้นตลาดว่า “ทางกลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ข้าวสัจธรรมอำนาจเจริญ จะขายก่อนแล้วค่อยปลูกหมายความว่า ไปรับออเดอร์จากลูกค้ามาก่อนแล้วค่อยวางแผนว่าจะปลูกข้าวแต่ละประเภท จำนวนเท่าไหร่ โดยเราแบ่งกลุ่มลูกค้าข้าวในประเทศเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ตลาดล่าง ลูกค้าที่เป็นกลุ่มแรงงาน สนใจสินค้าราคาถูก เน้นปริมาณ 2.ตลาดกลาง ลูกค้าคนทั่วไปที่สามารถซื้อข้าวได้ในราคาปานกลางและยอมรับในคุณภาพข้าวปานกลาง 3.ตลาดสูง ลูกค้าที่ต้องการบริโภคข้าวคุณภาพสูง เกรดพรีเมี่ยม ไม่เกี่ยงเรื่องราคา ปัจจุบันเครือข่าววิสาหกิจของเราประกอบด้วย 21 วิสาหกิจชุมชน มีสมาชิก 3,500 ราย ผลิตข้าวได้ประมาณ 1,500 ตัน/ปี บนพื้นที่ประมาณ 9,000 ไร่ เคล็ดลับในการพาวิสาหกิชุมชนให้อยู่รอดคือต้องรู้ว่าเราจะขายให้ใคร มีการกระจายความเสี่ยงโดยการหาลูกค้าหลายๆ ที่ ปัจจุบันข้าวสัจธรรมอำนาจเจริญ ส่งข้าวไปในแหล่งที่รับซื้อประจำทั้งในส่วนของที่สถานที่จัดประชุมอย่างไบเทคและอิมแพค เมืองทองธานี โรงแรม 6 ที่ ร้านซิสเลอร์ และตลาดส่งออก ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะไปถึงตลาดส่งออกได้คือการทำมาตรฐานทั้งในส่วนของ ตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ IFOAM และตรามาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์สหภาพยุโรป (EU) แต่สำหรับมาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ – มกอช. (National Bureau of Agricultural Commodity and Food Standards – ACFS) หรือ Organic Thailand ทั้งลูกค้าต่างประเทศและลูกค้าไทย ยังไม่เชื่อมั่นเท่ามาตรฐานของต่างประเทศ โดยส่วนตัวมองว่าแนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ดำเนินการยังไม่สามารถแก้ปัญหาของชาวนาได้อย่างแท้จริง ตัวชาวนาและสหกรณ์จึงต้องพึ่งพาตัวเองก่อน และไม่อยากให้ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้คำว่า “การช่วยเหลือชาวนา” มาเป็นตัวประกันในการหาผลประโยชน์เข้าตนเอง นอกจากนี้ทางเรายังคิดกลยุทธ์ที่สามารถจำหน่ายข้าวได้ทั้งข้าวสวยและข้าวหัก โดยการเจรจากับโรงแรมต่างๆ ว่าจะส่งข้าวกิโลกรัมละ 40 บาท ถ้ามีการผสมข้าวหักลงไปในอัตรา 80 : 20 จะจัดส่งในราคา 35 บาท เป็นต้น ซึ่งคุณภาพของข้าวหักนั้นมีความแตกต่างจากข้าวธรรมดาเพียงเล็กน้อย ลูกค้าจึงพึงพอใจในราคาจำหน่ายที่ถูกลงและทางเราก็จำหน่ายข้าวได้หมดแม้จะเป็นข้าวหักก็ตาม”
ทั้งนี้ รศ.จุฑาทิพย์ ภัทราวาท ผู้อำนวยการสถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงข้อเสนอสำหรับสิ่งที่รัฐที่ควรทำและไม่ควรทำ สิ่งที่ควรทำ ได้แก่ 1.การจัดโซนนิ่ง เพื่อจำแนกพื้นที่ทำนาตามคุณภาพ เช่น พื้นที่นาน้าฝน พื้นที่นาแล้ง ฯลฯ เพื่อการวางแผน ส่งเสริมการทำนาให้เหมาะสมกับบริบท ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบชลประทาน การจัดรูปที่ดิน การพัฒนาที่ดิน การส่งเสริมการเชื่อมโยงโซ่คุณค่า เป็นต้น 2.การส่งเสริมการรวมกลุ่มชาวนา อาจเป็นในรูปของกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน หรือ เป็นสมาชิกสหกรณ์ ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในขนาดธุรกิจ และสมรรถนะของชาวนาในการบริหารจัดการกลุ่ม เพื่อการเป็นองค์การพึ่งพาตนเองในอนาคต ซึ่งต้องมีหน่วยงานพี่เลี้ยงไปช่วยยกระดับสมรรถนะเกษตรกรในเรื่องของการผลิต และการเชื่อมโยงธุรกิจ ของกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจการต่อรองด้านราคา และการเชื่อมโยงเครือข่ายในการเข้าถึงตลาด เช่น กรณีตัวอย่าง เครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจข้าวหอมมะลิอำนาจเจริญ 3.นโยบายสาหรับการแก้ปัญหาเชิงระบบด้วยการใช้นวัตกรรมการยกระดับมูลค่าเพิ่ม ผ่านกลไกการจัดการโซ่คุณค่าในธุรกิจของกลุ่มและสถาบันเกษตรกร ซึ่งตัวแบบที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดี ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเชิงคุณค่าสามพรานที่กำลังเชื่อมโยงเครือข่ายผู้บริโภคกับเครือข่ายผู้ผลิต 4.นโยบายการจัดการความรู้ที่เข้าถึงเกษตรกรและสร้างความเข้าใจในเรื่องของโครงสร้างการผลิต การตลาด การทำไร่นาสวนผสมเพื่อลดความเสี่ยงจากอาชีพทำนา ช่วยให้มีรายได้เสริมอีกทั้งยังจะ ช่วยลดรายจ่ายในครัวเรือน ตัวอย่างสำหรับการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม เช่น หลักสูตรชาวนามืออาชีพที่มีสาระการเรียนรู้ที่นาไปสู่การปรับทัศนคติในการทำนา การปรับกระบวนทัศน์และการเพิ่มพูนความรู้ทักษะ. 5 การบูรณาการการทำงานในรูปของความร่วมมือระหว่างรัฐบาลและเอกชน ที่ต้องเน้นชาวนา เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง โดยมีกลไกการติดตามประเมินผลมิให้เกษตรกร ถูกเอาเปรียบ และภาษีตกไปเป็นประโยชน์ของพ่อค้า
6.ควรจัดให้มีหลักสูตรฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็น Smart Officers เพื่อยกระดับสมรรถนะในทิศทางดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมีความรู้ภาพใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ โครงสร้างการผลิต การตลาดข้าว การจัดการโซ่คุณค่า มีทักษะเกี่ยวกับเรื่องการวางแผนกลยุทธ์ และการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติในการบรรลุเป้าหมาย 7. กำหนดประเด็น “การสร้างโซ่คุณค่าข้าวไทย” ที่มุ่งเน้น การวางแผนให้เกิดความสมดุล ระหว่างอุปสงค์อุปทานข้าวไทยทั้งระบบและมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โดยเริ่มจากการสร้างระบบฐานข้อมูล ชาวนา ตามระบบโซนนิ่ง และขับเคลื่อนโดยใช้ใช้กลไกการจัดการโซ่อุปทานที่มีผู้ประกอบการต่างๆเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ โดยรัฐจะใช้มาตรการและนโยบายสนับสนุน เช่น การลดหย่อนภาษีแก่ผู้ประกอบการ โรงสี ผู้ส่งออก และโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากข้าว การรณรงค์ให้คนในชุมชนบริโภคข้าวที่ผลิตในชุมชน การรณรงค์ให้คนในหน่วยงานรัฐ และบริษัท มีกลไกการอุดหนุนข้าวจากชาวนาและสถาบันเกษตรกร โดยตรง เป็นต้น สำหรับสิ่งที่รัฐไม่ควรทำ คือ 1.จัดสรรงบประมาณ การช่วยเหลือชาวนาที่เป็นโครงการเร่งด่วน เพราะงบประมาณส่วนใหญ่ จะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับจัดโชว์ผลงานที่เป็นตัวแบบและแนวปฏิบัติที่ดีมากกว่าการนาไปใช้แก้ปัญหาอย่างจริงจัง 2.โครงการตามนโยบายรัฐที่ขึ้นมาจัดการเรื่องแก้ปัญหาข้าวค้างสต็อก ตัวอย่างเช่น โครงการกระจายข้าว ซึ่งทำอยู่ในปัจจุบันก่อให้เกิดผลกระทบ ทำให้ราคาข้าวในฤดูกาลใหม่ตกต่ำ ทั้งนี้การแก้ปัญหาเรื่องข้าวและชาวนา อาจต้องกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ กรณีศึกษาของประเทศญี่ปุ่น สำหรับนโยบายการลดพื้นที่ปลูกข้าวให้ไปปลูกพืชทดแทนได้สำเร็จนั้น ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งทศวรรษ โดยตัวละครหลัก ประกอบด้วย รัฐบาล หน่วยงานรัฐทุกระดับ หน่วยวิจัยทุกระดับ ขบวนการ สหกรณ์ และที่สำคัญคือ ผู้บริโภคซึ่งจะเป็นตัวละครสำคัญ อันเนื่องมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า “ตลาดเป็นตัวกำหนดการผลิต”
ด้าน ผศ.ดร.ศุภกิตต์ สายสุนทร รองหัวหน้าภาควิชาเกษตรกลวิธาน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึง “เครื่องต้นแบบสกัดน้ำมันรำข้าวและข้อจำกัดทางนโยบาย” ว่า น้ำมันรำข้าวมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง หรือ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ฯลฯ และหากผลิตได้จะเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้ามาก จากที่ข้าวขายได้ราคากิโลกรัมละ 7 บาท แต่น้ำมันรำข้าวขายได้แคปซูลละ 350 บาท โดยข้อดีของการสกัดน้ำมันรำข้าวคือ มีต้นทุนในการสกัดต่ำ ใช้เครื่องจักรจำนวนน้อยไม่มีกรรมวิธีการผลิตที่ยุ่งยาก ซับซ้อน สามารถทำเป็นอุตสาหกรรมภายในครอบครัวได้ ผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้สามารถนำไปจำหน่ายเป็นอาหารสัตว์เสริมได้ และเครื่องสามารถนำไปสกัดใช้กับสินค้าเกษตรอื่นๆ แต่ปัญหาที่พบตอนนี้คือเกษตรกรไม่มีองค์ความรู้ว่าน้ำมันรำข้าวมีประโยชน์ ไม่มีการส่งเสริมการผลิต ไม่มีช่องทางการตลาดไม่มีการรับรองมาตรฐาน ไม่มีเงินลงทุน และขาดตัวเครื่อง ซึ่งแต่ละตัวจะมีต้นทุนอยู่ที่เครื่องละประมาณ 80,000 บาท
ในขณะที่ ผช.ดร.อมรรัตน์ ถนนแก้ว อาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา กล่าวถึงปัญหาของการพัฒนาข้าวว่าประกอบด้วย 1.ตัวเกษตรกร พื้นฐานองค์ความรู้ของเกษตรกร ความสามารถในการเรียนเรียนรู้ อายุของเกษตรกร ความพร้อมของตัวเกษตรกร 2.นักวิจัยทำวิจัยตามความต้องการของตนเอง ทำวิจัยเพื่อเงินมากกว่าทำงานวิจัยเพื่อให้ได้ผลงานวิจัยที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ นักวิจัยไม่สามารถนำงานวิจัยถ่ายทอดให้เกษตรกรใช้งานได้ 3.ภาครัฐขาดนโยบายการทำงานอย่างต่อเนื่อง และการคอรัปชั่นในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ แนวทางการทางานเพื่อวิจัยและพัฒนาข้าวให้มีความยั่งยืนมีดังนี้คือ 1.เกษตรกรต้องรู้จักตัวเอง และพึ่งพาตนเองและทรัพยากรที่มีในชุมชนเกษตรกรต้องเรียนการแปรรูปและการตลาดของข้าว และมีความสามารถในการติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน 2.ส่งเสริมให้มีการทำงานวิจัยข้าวที่ร่วมกับเกษตรกรและผู้ประกอบการให้มากขึ้น และ 3.หน่วยงานของรัฐต้องมีนโยบายการพัฒนาในเรื่องข้าวอย่างต่อเนื่อง