บางจากฯประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 3/2563 มีรายได้ 33,652 ล้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า ลดลงร้อยละ 28 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน มี EBITDA 2,769 ล้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 145 เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ชี้สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบปรับตัวต่ำส่งผลกระทบต่อการพัฒนาโครงการต่างๆของ
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัท บางจากฯ ในไตรมาส 3/2563 ว่ามีทิศทางปรับตัวดีขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันเริ่มฟื้นตัว หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น แต่หากเทียบกับปีก่อน ความต้องการใช้น้ำมันลดลงอย่างมากและยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่จากโควิด-19 ขณะที่ผลดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ชีวภาพยังคงเติบโตต่อเนื่อง ช่วยลดความผันผวนของผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ
ทั้งนี้ใน 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัท บางจากฯ มีรายได้ 103,317 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 1,354 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 78 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มี Operating EBITDA 6,407 ล้านบาท โดยมี Inventory Loss 4,887 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV) 28 ล้านบาท) และมีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ 2,490 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมทั้งการด้อยค่าตามมาตรฐาน TFRS 9 จำนวน 913 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรก มีการขาดทุนสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ 7,219 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 5.59 บาท
อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกยังคงทรงตัวและมีความผันผวนจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ระลอก 2 ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป จนทำให้ต้องประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง คาดว่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์การใช้น้ำมันชะลอตัวลง เป็นปัจจัยกดดันให้ค่าการกลั่นทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งกระทบกับธุรกิจโรงกลั่น ขณะที่กลุ่มธุรกิจการตลาดมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเริ่มฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ นอกจากนี้มาตรการด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการประกาศวันหยุดพิเศษ หรือนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ คาดว่าจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะสามารถกลับมาขยายตัวได้ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัวตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่มีแนวโน้มขยายตัว การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว และการใช้จ่ายของภาครัฐเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ด้านผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในไตรมาส 3/2563 เริ่มจาก กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ยังคงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมัน และค่าการกลั่น โดยจะเห็นได้จากค่าการกลั่นพื้นฐานในเดือนมิถุนายนที่ 6.19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ในเดือนกันยายนปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.89 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทำให้ในไตรมาสนี้มีค่าการกลั่นพื้นฐาน 2.33 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล – ดูไบ (GO/DB) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสัดส่วนการผลิตมากที่สุด ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อีกทั้งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการต้นทุนในการผลิต โดยการจัดหาน้ำมันดิบได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาดจากผู้ค้าน้ำมันที่สต๊อกน้ำมันไว้ในช่วงที่ราคาถูก อีกทั้งมีการปรับสัดส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ช่วยเพิ่มค่าการกลั่น รวมทั้งได้ปรับเพิ่มกำลังการผลิตมาอยู่ที่ระดับ 95,300 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 79 ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ธุรกิจโรงกลั่นมี Inventory Gain (รวมกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ(NRV)) จำนวน 269 ล้านบาท ทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น ในส่วนของธุรกิจการค้าน้ำมันโดยบริษัท BCP Trading จำกัด มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้น ในขณะที่กำไรขั้นต้นปรับลดลง โดยหลักๆ มาจากกำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันเตาเกรดกำมะถันต่ำตามมาตรการ IMO ปรับลดลง เนื่องจากอุปทานในตลาดปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับอุปสงค์ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากการแพร่ระบาดของโควิด-19
กลุ่มธุรกิจการตลาด ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 มี EBITDA 766 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการจำหน่ายในส่วนของตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ ได้มีการผลักดันการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ด้านตลาดอุตสาหกรรมยังคงได้รับผลกระทบหลักจากความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ค่าการตลาดรวมสุทธิปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสัดส่วนการจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกที่มีค่าการตลาดสูงกว่าการจำหน่ายผ่านตลาดอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น ในไตรมาสนี้มี Inventory Gain จำนวน 3 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการสะสมเดือนมกราคม – กันยายน 2563 อยู่ที่ร้อยละ 15.6 (ตามข้อมูลกรมธุรกิจพลังงาน)
ทั้งนี้ บางจากฯ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดทำโครงการ “เที่ยวเมืองไทย ใช้บางจาก” ชวนคนไทยขับรถเดินทางท่องเที่ยวและแวะสถานีบริการน้ำมันบางจากสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของรางวัล เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ นอกจากนี้ ยังคงขยายจำนวนสถานีบริการตามแผนการลงทุนให้สามารถรองรับกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 มีสถานีบริการน้ำมันทั้งสิ้น 1,223 สถานี ในส่วนของธุรกิจค้าปลีกได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจร้านสะดวกซื้อ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ ได้รับรู้ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนดังกล่าวทั้งหมดแล้ว
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ผลการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ได้ขยายการลงทุนในโครงการต่างๆ ทำให้มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 78 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้นร้อยละ 227 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ มาจากการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว ช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ ประกอบกับการเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยจำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 20 เมกกะวัตต์ โดยการลงทุนนี้ช่วยชดเชยผลกระทบจากการเข้าสู่ฤดูฝน นอกจากนี้ ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเนื่องจากไม่มีการหยุดรับซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าประเทศญี่ปุ่น และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัท BCPG ได้อนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนด้วยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 1.3 พันล้านหุ้น คาดว่าจะได้เงินทุนเพิ่มราว 1.02 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี นอกจากนี้เงินเพิ่มทุนบางส่วนจะถูกนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมที่มีอยู่ ทำให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ในไตรมาส 3/2563 มี EBITDA รวม 390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 94 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดย ธุรกิจไบโอดีเซล มีกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 53 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้นร้อยละ 146 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น โดยมีปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ B100 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น และจากการจำหน่ายน้ำมันดีเซล B10 ที่เพิ่มขึ้นจากการกำหนดให้น้ำมัน B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐาน ด้าน ธุรกิจเอทานอล ผลการดำเนินงานเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอทานอลที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในกลุ่มแก๊สโซฮอล์ของบริษัทที่ปรับเพิ่มขึ้น หลังการเปิดตัวแก๊สโซฮอล์ S EVO Family ในขณะที่ความต้องการใช้เอทานอลเกรดอุตสาหกรรมเพื่อนำไปผลิตเจลแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคปรับลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลง สำหรับผลการดำเนินงานเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยขณะที่กำไรขั้นต้นปรับลดลง สาเหตุมาจากราคาต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 3 ของปีก่อน บริษัท KGI มีการปรับปรุงต้นทุนวัตถุดิบกากน้ำตาลลงมากกว่าในปีนี้ ตามการประกาศราคาเฉลี่ยกากน้ำตาลที่จำหน่ายภายในประเทศ นอกจากนี้บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าลงทุนในบริษัทซึ่งจดทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกา และดำเนินธุรกิจในเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพ ประเภท Bio-ingredients
กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มี EBITDA ขาดทุน 58 ล้านบาท ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 118 ล้านบาท เป็นการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม OKEA ขณะที่ไตรมาสก่อนหน้ารับรู้ส่วนแบ่งกำไร โดย OKEA มีรายได้เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 แต่มีการรับรู้ผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจากไตรมาสก่อน อีกทั้งมีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากสินทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของแหล่ง Yme เนื่องจากมีการเลื่อนแผนการผลิตและการใช้เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นและมีการรับรู้รายการภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ซึ่งช่วยลดผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส ทั้งนี้ OKEA ได้เข้าร่วมทุนในแหล่งปิโตรเลียม Calypso และ Aurora (ที่อยู่ใกล้กับแหล่ง Draugen และ Gjøa ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและการผลิตจากการ synergy ร่วมกันได้) ซึ่งอยู่ในระหว่างการสำรวจและเป็นแหล่งปิโตรเลียมที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาสู่การผลิตได้ในอนาคต โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 มูลค่าตามบัญชีของเงินลงทุนใน OKEA มีมูลค่าใกล้เคียงกับมูลค่าตามราคาตลาด (Market value)
“ที่ผ่านมา เราสามารถลดค่าใช้จ่ายตามมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ได้ในระดับหนึ่ง ด้วยการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การที่ยังไม่มีใครบอกได้ว่าการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกจะคลี่คลายลงเมื่อใดและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก ทำให้เราต้องตั้งตัวให้อยู่ในความพร้อมที่จะรับมือกับโลกอันผันผวนนี้ได้ตลอดเวลา พร้อมรองรับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นครับ” นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย