วี คาร์โก กรุ๊ป สั่งซื้อรถหัวลากยูดี เควสเตอร์ 10 คันและหัวลากอีซูซุ GXZ60NXXFT 10 คัน รองรับการขยายงานจากกลุ่มซีพี ออล หรือ 7-11 ทำให้จำนวนหัวลากในกลุ่มฯ เพิ่มขึ้นเป็น 120 คัน
คุณอุดม ศรีสงคราม กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท วี คาร์โก เปิดเผยว่าจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจการค้าออนไลน์และสินค้าในตลาดโมเดิร์นเทรดในระยะหลายปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มบริษัทวี.คาร์โก มีอัตราการเจริญเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราต้องเพิ่มจำนวนรถเพื่อรองงานขนส่งที่เพิ่มขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ กลุ่มฯ ได้จัดซื้อรถหัวลากเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะกลุ่มซีพี ออล ได้ขยายงานขนส่งสินค้าทางไกลให้กับกลุ่มฯ โดยรับสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้านพวงศ์ จังหวัดนครปฐม เพื่อกระจายไปยังศูนย์กระจายสินค้าในภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสานและภาคกลาง
“เราได้รับความไว้วางใจจาก 7-11 ให้รับงานขนส่งเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะจากความพึงพอใจในบริการของกลุ่มเราที่เราทำงานร่วมกับ 7-11 มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี ทำให้ทาง 7-11 มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการของเรา โดยเพิ่มงานด้านการกระจายสินค้าไปยังศูนย์กระจายภูมิภาคของ 7-11 ซึ่งจำเป็นต้องใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งเรามีความพร้อมและความชำนาญด้านนี้อยู่แล้ว เราจึงตัดสินใจสั่งซื้อรถหัวลากเพิ่มเติมเพื่อรับงานของ 7-11”
กรรมการผู้จัดการกลุ่มวี คาร์โก้ กล่าวอีกว่าวี คาร์โก กรุ๊ป ได้ร่วมงานกับ 7-11 มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี โดยช่วงที่ผ่านมา บริการที่ให้กับ 7-11 คือการขนส่งสินค้าไปยังร้าน 7-11 ในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งใช้รถบรรทุกขนาดเล็กไปถึงขนาดกลาง ซึ่งนอกจากราคาที่ วี คาโก กรุ๊ป สามารถแข่งขันได้แล้ว คุณภาพการให้บริการ ยังเป็นที่ยอมรับของ 7-11 มาตลอด
“วี คาร์โก กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทที่มีคณะผู้บริหารคนไทยเป็นเจ้าของและบริหาร โดยก่อตั้งในปี พ.ศ. 2531 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 2 ล้านบาท และมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านบาท โดยให้บริการด้านพิธีการศุลกากรทั้งทางบกและทางอากาศในระยะเริ่มต้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2538 ได้ขยายงานด้านการขนส่งทางบก ซึ่ง วี คาร์โก กรุ๊ปได้ขยายงานทั้งในรูปแบบการให้บริการจำนวนรถที่เพิ่มขึ้นเป็น 1,900 คันในปัจจุบัน และมีการพัฒนาเทคโนโลยีการขนส่งในรูปแบบของแอพพลิเคชั่นการขนส่งอย่างต่อเนื่อง”
คุณอุดม ย้ำปิดท้ายว่าวี คาร์โก กรุ๊ป แบ่งกลุ่มธุรกิจที่ให้บริการเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ ธุรกิจขนส่งโมเดิร์นเทรด การขนส่งทั่วไป และธุรกิจ E-commerce โดย 85% ของรายได้มาจากธุรกิจการขนส่ง 10% จากการให้บริการชิปปิ้ง และ 5% มาจากการให้บริการคลังสินค้า ทุกธุรกิจของกลุ่มฯ จำเป็นต้องปรับตามสภาพความเป็นจริง ประกอบกับผู้ให้บริการด้านการขนส่งเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น
“เรากลับมองว่าการแข่งขันนี่แหละเป็นจุดเปลี่ยนธุรกิจของกลุ่มเพราะหากเราสามารถปรับตัวได้ และรักษาคุณภาพการให้บริการที่ดีให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เราน่าจะเติบโตได้มากกว่าตลาด นี่คือที่มาของการปรับตัวของเราเพื่อให้เราเติบโตได้ และวันนี้เราน่าจะเรียกว่าประสบความสำเร็จมาระดับหนึ่งที่สามารถยืนอยู่บนธุรกิจนี้ได้ด้วยยอดรายได้เมื่อปีที่แล้วที่แตะระดับหนึ่งพันล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจมาก”