ปฏิเสธไม่ได้ว่าไวรัสโควิด-19 ที่เวลานี้ไล่คุกคามและแพร่ระบาดหนักไปทั่วโลก สร้างความสะพรึงกลัวให้กับมวลมนุษยชาติอย่างถึงที่สุด จนกระทั่งองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ประกาศให้เป็นโรคระบาดครั้งใหญ่โลก (Pandemic) อย่างเป็นทางการ หากเปรียบเป็นอาวุธถือว่ามีพลานุภาพร้ายแรง เพราะแผงฤทธิ์คร่าชีวิตผู้คนกว่าหมื่นซ้ำร้ายยังยังฉุดเศรษฐกิจโลกดิ่งเหว
การแพร่ระบาดหนักของไวรัสโควิด-19 เป็น “สงครามชีวภาพ” ต้องบอกว่ามีความรุนแรงกว่า “สงครามการค้า” ที่ 2 มหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐ-จีนขับเคี่ยวกันเสียอีก ที่เวลานั้นเขย่าบรรดาเศรษฐกิจประเทศอื่นๆทั่วโลกได้รับผลกระทบยากจะหลีกเลี่ยง ขณะที่ผลกระทบจากไวรัสมฤตยูโควิด-19แทบจะพังพาบเศรษฐกิจในหลายประเทศ
เพราะการปิดประเทศในหลายประเทศทั่วโลกไม่ต่างอะไรกับการ “ชัตดาวน์” ตัวเองของภาคธุรกิจ การบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยว การค้าการลงทุน และการนำเข้าส่งออก ที่ล้วนแล้วเป็น “เครื่องยนต์” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศต่างๆแทบชะงักงัน
ขณะที่ประเทศไทยก็มีอาจหลีกเลี่ยงจากผลกระทบได้วิกฤติไวรัสโควิด-19 เช่นกัน เกือบทุกภาคธุรกิจล้วนต้องถูกพิษไวรัสร้ายเล่นงาน ไม่เว้นภาคธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนที่อีกคมเหลี่ยมหนึ่งดูเหมือนเป็นธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากวิกฤติไวรัสโควิด-19 ด้วยซ้ำไป เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเลี่ยงช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าและแหล่งชุมชนหันมาสั่งสินค้าและบริการทางออนไลน์แทน
ทว่า หลังกรุงเทพฯมหานครจุดศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศประกาศปิดห้างสรรพสินค้า ร้านค้าสถานบริการต่างๆทั่วกรุงและปริมณฑล ทำให้จุดรับส่งสินค้าของบรรดายักษ์ใหญ่ขนส่งพัสดุด่วนภายในห้างสรรพสินค้าและสถานบริการต่างๆพลอยถูกปิดไปโดยปริยาย ย่อมส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการของยักษ์ใหญ่ส่งพัสดุด่วนต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ต้องปรับทัพกลยุทธ์และการบริหารจัดการเพื่อก้าวข้ามวิกฤติไวรัสโควิด-19
ปณท ชูบริการ“ยิ้มสู้-19”สู้วิกฤติโควิด-19
เริ่มจากราชันส่งพัสดุไทยอย่างไปรษณีย์ไทย รุกอำนวยความสะดวกให้คนไทยช่วงวิกฤติไวรัส COVID-19 ทั้งให้บริการจัดส่งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ หน้ากากอนามัยชนิดผ้า เจลแอลกอฮอล์ให้ถึงมือผู้ใช้บริการทั่วประเทศ พชูบริการ”ยิ้มสู้-19”ส่งสิ่งของแบบเหมาจ่ายเพียง 19 บาทราคาเดียว ให้คนไทยได้ช้อปสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านร้านค้าออนไลน์ งัดบริการ“รับ-ส่งของถึงบ้าน”ช่วยคนไทยสู้วิกฤติโควิด
นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ไปรษณีย์ไทยขานรับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 ด้วยการใช้ศักยภาพในการเป็นผู้ให้บริการขนส่งโลจิสติกส์ของชาติ พร้อมทำหน้าที่ให้บริการจัดส่งอุปกรณ์ป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัส COVID-19 โดยการฝากส่งในประเทศสามารถส่งได้ทั้งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ หน้ากากอนามัยชนิดผ้าและเจลแอลกอฮอล์
“เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถซื้อขายสินค้าจำเป็น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภค บริโภครวมถึงอุปกรณ์ป้องกันตนเองจากเชื้อ COVID-19 ผ่านร้านค้าออนไลน์ได้โดยไม่ต้องออกจากบ้านในสถานการณ์การที่เชื้อ Covid-19 แพร่กระจายมากขึ้น อีกทั้งเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ให้หยุดชะงัก ไปรษณีย์ไทยจึงเปิดบริการ “ยิ้มสู้-19” ส่งสิ่งของเหมาจ่ายราคาประหยัด อัตราค่าบริการชิ้นละ 19 บาทราคาเดียว น้ำหนักสิ่งของฝากส่งสูงสุดไม่เกิน 1 กิโลกรัม/ชิ้น จัดส่งสิ่งของถึงปลายทางภายใน 2-5 วันทำการ สามารถติดตามสถานะสิ่งของได้ พร้อมความคุ้มครองสูงสุด 1,000 บาท/ชิ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับบริการเก็บเงินปลายทาง (COD)โดยวงเงินเรียกเก็บ ณ ที่อยู่ผู้รับไม่เกิน 30,000 บาท/ชิ้น พร้อม SMS แจ้งผู้รับปลายทางได้ โดยคิดค่าบริการบวกเพิ่มอีก 10 บาท/ชิ้น ซึ่งจะเรียกเก็บจากสินค้าที่เก็บเงินได้แล้วเท่านั้น สามารถใช้บริการได้ทุกที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้– 30 เมษายน 2563”
บริการรับ-ส่งของถึงบ้านช่วยคนไทยสู้วิกฤติโควิด-19
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปณท ระบุอีกว่า ไปรษณีย์ไทยขานรับนโยบายรัฐบาล“อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการเปิดให้บริการรับฝาก ณ ที่อยู่ลูกค้า (Pick Up Service) โดยสามารถฝากส่งสิ่งของในประเทศได้ไม่จำกัดจำนวนชิ้น ไม่คิดค่าเข้ารับสิ่งของ และไม่ต้องออกจากที่พักอาศัย ทั้งลูกค้ารายย่อยและรายใหญ่ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม นี้ เป็นต้นไป สำหรับการฝากส่งผู้ใช้บริการสามารถฝากส่งได้กับบุรุษไปรษณีย์ในพื้นที่ทั่วประเทศ และรถยนต์ที่ให้บริการรับฝากสิ่งของที่มีสัญลักษณ์ Pick Up Service เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับผู้ต้องการส่งสิ่งของในประเทศ และลดความหนาแน่นของผู้ใช้บริการ ณ ที่ทำการไปรษณีย์
“ผู้ใช้บริการสามารถฝากส่งสิ่งของในประเทศและชำระเงินค่าฝากส่งกับบุรุษไปรษณีย์ในพื้นที่ของท่าน เรามั่นใจว่าด้วยจุดแข็งด้านศักยภาพเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่จะสามารถรองรับปริมาณชิ้นงานท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนได้ ทั้งนี้บริการรับฝาก ณ ที่อยู่ลูกค้าเป็นทางเลือกให้ประชาชนสามารถส่งสิ่งของได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน โดยที่ทำการไปรษณีย์ยังคงเปิดให้บริการเป็นปกติ”
ทั้งนี้ บริการรับฝาก ณ ที่อยู่ลูกค้า (Pick Up Service) เป็นหนึ่งในบริการภายใต้แคมเปญ “ไปรษณีย์ส่งให้ ชวนคนไทยอยู่บ้าน”โดยมีบริการอื่นๆ ที่ ไปรษณีย์ไทยคัดสรรมาให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน เพื่อร่วมรณรงค์การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนอยู่ในที่พักอาศัย และลดการใช้พื้นที่ส่วนรวม เพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดของไวรัส อาทิ บริการยิ้มสู้-19, บริการส่งยาทั่วไทย, บริการสั่งผลไม้ ส่งไปรษณีย์, ส่งหน้ากาก แอลกอฮอล์เจล อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง, บริการการเงิน Wallet@Post/ธนาณัติออนไลน์) เป็นต้น
เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ชู Door to Door Service ฝ่าวิกฤติ COVID-19
ขณะที่เคอรี่เอ็กซ์เพรส(ประเทศไทย) ประกาศเดินหน้าให้บริการในภาวะวิกฤติพร้อมบริการรับส่งสินค้าแบบ Door to Door ลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ประกอบการและลูกค้าทั่วไปในการส่งพัสดุสินค้าท่ามกลางสถานการณ์การระบาดไวรัส COVID-19
นายวราวุธ นาถประดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานสายงานพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคอรี่ เอ็กซ์เพรส มีความห่วงใยในสุขภาพของลูกค้าของเราและยินดีร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการลดการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ตามประกาศของกรุงเทพมหานครจังหวัดในเขตปริมณฑล และจังหวัดอื่น ๆ ด้วยการปิดบริการในสาขาของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าเป็นการชั่วคราว
“ลูกค้าสามารถตรวจสอบสาขาใกล้เคียงที่เปิดให้บริการได้จากเฟซบุ๊กแฟนเพจ เว็บไซต์ของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส หรือดาวน์โหลดเคอรี่แอปพลิเคชันได้ใน แอปสโตร์และ กูเกิล เพลย์สโตร์ได้ตลอดเวลา ทั้งนี้สำหรับลูกค้าที่ไม่สะดวกเดินทางไปยังสาขาหรือมีความกังวลในการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เราได้เตรียมบริการรับ-ส่งสินค้าให้ถึงมือผู้รับ (Door to Door Service) ซึ่งเป็นบริการรับส่งสินค้าที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ส่งและผู้รับสินค้า ด้วยบริการจัดการไปรับสินค้าถึงหน้าบ้าน”
นายวราวุธ ย้ำด้วยว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ขอแสดงความห่วงใยพี่น้องชาวไทยทุกคนและขอเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ชาวไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน เคอรี่ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินการตามจุดยืนของเราเพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ชาวไทยทุกคน ในส่วนสาขาที่เปิดให้บริการเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ได้มีการออกมาตรการป้องกันไวรัส COVID-19 ไม่ว่าจะเป็นการคัดกรองพนักงานและผู้มาติดต่อด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้ามาติดต่อ ณ ร้านสาขา การทำความสะอาดพื้นที่ให้บริการอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง จัดเตรียมแอลกฮอลล์ล้างมือไว้ให้บริการตามจุดต่างๆการเว้นระยะห่างในการส่งสินค้า ณ จุดรับสินค้า (Social Distancing) จัดให้มีจุด Drop off ณ ร้านสาขาเพื่อย่นระยะเวลาและรักษาระยะห่างในการรอรับบริการ
นอกจากนั้น เคอรี่ เอ็กซ์เพรส ยังมีมาตรการในการป้องกันและควบคุมการจัดส่ง เช่นการฉีดพ่นแอลกฮอลล์ และน้ำยาฆ่าเชื้อบนกล่องสินค้าและในศูนย์กระจายสินค้า พนักงานคัดแยกสินค้าและพนักงานส่งของทุกคนจะต้องสวมหน้ากากอนามัยและใส่ถุงมือขณะทำงานการเว้นระยะห่างในการส่งสินค้า (Social Distancing) พนักงานส่งของต้องอยู่ห่างลูกค้าในระยะ 1 เมตร โดยลูกค้าสามารถเดินมาหยิบสินค้าเองจากรถส่งสินค้าได้ระบบการชำระเงินแบบ QRPayment สำหรับบริการเก็บเงินปลายทางเพื่อให้ลูกค้าสามารถจ่ายเงินด้วยการสแกน QRCode แทนการใช้เงินสดเพื่อลดความเสี่ยงในการจับธนบัตรเคอรี่เอ็กซ์เพรส พร้อมดำเนินธุรกิจภายใต้การดำเนินงานที่มีมาตรฐานปลอดภัยและใส่ใจพร้อมมอบบริการที่ดีที่สุดเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าทุกท่านต่อไปในอนาคต
แฟลช เอ็กซ์เพรส เปิดให้บริการ 365 วัน
ส่วนแฟลช เอ็กซ์เพรส ก็ออกโรงยืนยันให้บริการ 365 วัน เตรียมพร้อมรับมือสู้สถานการณ์ COVID19 ย้ำมีมาตรการเข้มป้องกันเชื้อไวรัส พนักงานทุกคนสวมหน้ากากอนามัย 3 ชั้น วัดอุณหภูมิก่อนปฏิบัติงาน มีเจลแอลกอฮอลล์พกติดตัวทำความสะอาดก่อนเข้ารับ และจัดส่งพัสดุถึงมือลูกค้า
นายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด (Flash Express) ผู้ให้บริการขนส่งสัญชาติไทย เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ COVID19 ที่ยืดเยื้อ และสร้างความกังวลให้กับทุกฝ่ายส่งผลให้หลายธุรกิจในช่วงนี้ต้องมีการปรับตัว และสร้างแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจเพื่อรองรับต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกๆวัน ซึ่งในส่วนของผู้ให้บริการขนส่งก็เช่นกัน
“วันนี้ลูกค้ามีความต้องการในบริการด้านขนส่งจำนวนมาก ตัวเลขการจัดส่งพัสดุเติบโตเพิ่มขึ้นเกินกว่า 10% หรือมียอดรับ-ส่งพัสดุเฉลี่ย 6 แสนกว่าชิ้นต่อวัน เมื่อเทียบกับยอดเดือนมกราคม 2563 ที่มียอดรับ-ส่งพัสดุต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ 5 แสนชิ้น ซึ่งในส่วนของแฟลช เอ็กซ์เพรสก็ได้ยืนยันถึงความพร้อมในการให้บริการลูกค้าทั่วไทย ทั้ง 77 จังหวัด อย่างเต็มกำลัง ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รับส่งพัสดุที่เพิ่มกำลังพลเต็มอัตรา พร้อมรถรับส่งพัสดุกว่า 8,000 คัน ซึ่งลูกค้าที่ต้องการจัดส่งพัสดุ ก็สามารถเรียกเจ้าหน้าที่ของแฟลชเข้ารับพัสดุฟรีถึงที่ผ่านแอปพลิเคชั่น Flash Express ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาดปลอดภัย เพราะบริษัทฯ มีการกำหนดมาตรการป้องกันเชื้อไวรัส COVID 19 ด้วยการวัดอุณหภูมิพนักงานก่อนเริ่มปฏิบัติงาน พนักงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย และมีเจลแอลกอฮอลล์ล้างมือพกพาสำหรับเจ้าหน้าที่คูเรียร์เพื่อสุขอนามัยที่ดี ก่อนเข้ารับ และจัดส่งพัสดุให้ถึงมือลูกค้า”
CEO แฟลช เอ็กซ์เพรส กล่าวอีกว่าแฟลชเอ็กซ์เพรสยังได้ยกระดับการเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ COVID19 ด้วยการจัดทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP PLAN) ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องย้ายสถานที่ปฏิบัติการ จึงได้มีการจัดเตรียมศูนย์ปฏิบัติการสำรองไว้รองรับพนักงานในส่วนของ Head office รวมถึงการวางระบบ IT ที่สามารถเชื่อมต่อ และเข้าถึงข้อมูลของทั้งองค์กร เพื่อให้การทำงานของทุกฝ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงพนักงานที่ต้อง Work from home ก็ยังคงสามารถให้บริการแก่ลูกค้า และคู่ค้าไปได้อย่างต่อเนื่อง
“เราไม่ทราบว่าสถานการณ์นี้จะยืดเยื้อไปถึงเมื่อไร สิ่งสำคัญ คือ การเตรียมความพร้อมอย่างดีที่สุด เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ และพนักงานของเรายังคงให้บริการแก่ลูกค้า และคู่ค้าของเราได้อย่างไม่สะดุด โดยในส่วนของผู้ให้บริการขนส่ง แฟลช เอ็กซ์เพรส จะขอเป็นส่วนหนึ่งในการเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์ COVID19 อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเข้มงวดมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของโรคดังกล่าว เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า คู่ค้า รวมไปถึงผู้ใช้บริการทุกคน”
ต้องยอมรับวิกฤติไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้เป็นสถานการณ์โลกและประเทศไม่ปกติ คนทั้งโลกและคนไทยเผชิญกับภัยพิบัติครั้งสำคัญ ที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปแล้วนับหมื่นมีผู้ติดเชื้ออีกหลายแสนคน ยังไม่มีท่าทีว่า “เชื้อมฤตยู” ที่ชื่อว่า “โควิด-19”จะหยุดระบาดและสร้างความหายนะต่อโลกและไทยเมื่อใด
ตรงกันข้ามยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนน่าวิตกอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์เพียงอย่างเดียว เเต่ยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งโลกที่ถดถอย อันจะสร้างปัญหาอื่นๆ โดยเฉพาะปัญหาสังคมตามมา
ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันฝ่าวิกฤติครั้งสำคัญนี้ไปด้วยกัน ไม่เว้นแต่ภาคธุรกิจที่ไม่ควรมุ่งเน้นเฉพาะผลกำไรเป็นที่ตั้งโดยไม่ชายตามองผลประโยชน์สังคมส่วนรวม มุ่งแต่กอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวบนความเดือดร้อนคนทั้งประเทศ สุดท้ายแล้วประชาชนผู้บริโภคนี้แหล่ะคือผู้ชี้ชะตาธุรกิจนั้นๆรอดหรือไม่รอด…บนผืนแผ่นดินไทย