รู้กันทั้งป่าดงดิบสิบล้อเมืองไทยแล้วสำหรับมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อ 21 ม.ค.63 ที่เปิดไฟเขียวย๊าวยาวกับ 12 มาตรการล้อมคอกปัญหาฝุ่นPM2.5 พร้อมเปิดทางสะดวกโยธินให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งบังคับใช้ได้เต็มอัตราศึก
ทั้งมิติเข้มคุมรถบรรทุกเข้ากรุงเทพฯตรวจควันดำรถบรรทุก-รถโดยสาร คุมการปล่อยฝุ่นของโรงงาน ดูแลการก่อสร้างในเขตเมืองให้ลดฝุ่นลดจราจรติดขัด ห้ามการเผาในที่โล่ง ลดราคาน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียมที่ก่อฝุ่นน้อย ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เป็นต้น
1 ใน 12 มาตรการที่ถือว่าเป็น “ยาแรง”กระแทกหัวอกสิงห์รถบรรทุกไปเต็มเปา ที่ว่ายาแรงก็เพราะเป็นการ “ห้ามรถบรรทุกสิบล้อ”ขึ้นไปวิ่งถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกรอบนอกในวันคี่โดยเด็ดขาด เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น. และให้เข้าได้ในช่วงหลังเวลา 21.00-05.00 น.ยกเว้นรถบรรทุกอาหารสดเท่านั้น ส่วนวันคู่สามารถเข้าได้ช่วงเวลาตามปกติ โดยมีระยะเวลา 2 เดือนสิ้นสุดเดือนกุมภาฯนี้
หวยออกมาแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับปฏิบัติการ “จับแพะบูชายัญ”ฝุ่น PM 2.5 ยังกับว่าพวกเขาเป็นต้นตอปัญหาแต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่ต้นตอปัญหาฝุ่นในเมืองหลวงและปริมณฑลตามที่กรมควบคุมมลพิษร่ายเอาไว้ ร้อยละ 72.5 มาจากการคมนาคมขนส่ง เป็นรถบรรทุกกว่าร้อยละ 28 ร้อยละ 7 มาจากรถบัส ร้อยละ 21 มาจากรถกระบะ ร้อยละ10 มาจากรถยนต์ส่วนตัว และอีกร้อยละ 5 มาจากบรรดาแมงกะไซค์
แม้พอจะบังคับขืนใจให้รับได้ว่าเป็นมาตรการระยะสั้น และ…OK “ต้นตอ”บ่อเกิดฝุ่นจิ๋วมหาภัยนั้น ร้อยละ 72.5 มาจากการคมนาคมขนส่ง และในจำนวน 72.5 % นั้นเป็นรถบรรทุกร้อยละ 28 ที่สังคมพยายามยัดเยียดว่าเป็น “ต้นตอตัวเอ้”ฝุ่นเจ้ากรรมนายเวร PM2.5 เพียงเพราะเป็น”พี่ใหญ่”บนท้องถนนอะไรเทือกนั้น
แต่ไฉนเล่า?ภาครัฐกลับยัดเยียดให้สิบล้อซด “ยาแรง” แต่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น!
แล้วรถบัส รถกระบะ รถยนต์ส่วนตัว หรือแม้แต่บรรดาแมงกะไซต์ก็ล้วนมีส่วนเป็นต้นตอด้วยเช่นกัน…ทำไมไม่กล้าอัญเชิญยาแรงให้ดื่มด่ำแก้กระหายแก้คอแห้งบ้างล่ะ?
เยี่ยงนี้แล้วมันคือการเลือกปฏิบัติหรือไม่?และมันคือแก้ปัญหาที่ตรงจุดและเป็นธรรมสำหรับพี่น้องสิบล้อแล้วหรือไม่? แล้วความเดือดร้อนและผลกระทบที่เกิดขึ้น…ใครจะช่วยเยียวยาล่ะเจ้าคะพระเดชพระคุณท่าน?
อย่าแกล้งโง่ลืมนะครับ!การห้ามสิบล้อวิ่งบนถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกนี้ไม่ต่างอะไรกับ“ปิดตายรถสิบล้อ”วิ่งเข้าเขตชั้นในเมืองหลวงเชียวนะ ระบบคมนาคมขนส่งเชื่อมจากเหนือ-อีสานเข้าใจกลางเมืองต่อไปท่าเรือและคลังสินค้าต่างๆ หรือเชื่อมไปยังภาคกลางลากยาวล่องใต้แทบเป็นอัมพาต กระทบชิ่งซึมลึกถึงห่วงโซ่การขนส่งและโลจิสติกส์อื่นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อรัฐห้ามสิบล้อวิ่งวันคี่ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น.และเปิดให้เข้าได้ในช่วงหลังเวลา 21.00- 05.00 น.ยกเว้นรถบรรทุกอาหารสดเท่านั้น บรรดารถบรรทุกสิบล้อจากทุกสารทิศก็จะเกิดการ “แออัด”มัดรวมอยู่เขตรอบนอกเพื่อรอเวลาวิ่งเข้าสู่ใจกลางกรุงในวันคู่
ครั้นพอถึงวันคู่ที่รอคอยมวลหมู่สิบล้อที่ “อั้น”อยู่ก็จะไหลรวมเข้าไปเขตชั้นในใจกลางเมืองหลวง มันจะไม่ก่อให้เกิดปริมาณรถที่หนาแน่นและการจราจรเกิดติดขัดวินาศสันตะโรมากกว่าเดิมหรือไม่?
แล้วปริมาณฝุ่นที่(อาจ)จะลดในวันคี่จากการบล็อกรถสิบล้อเข้ามาวุ่นวายตามเจตจำนงภาครัฐอะไรพันธุ์นั้นน่ะ แต่มันจะมาเพิ่มดีกรีเข้มข้นในวันคู่หรือไม่ ?แล้วมันคุ้มค่าราคาคุยกับมาตรการที่รัฐภูมิใจนำเสนอหรือไม่?ครับท่านเจ้าคุณ!
อารมณ์พลพรรคสิบล้อห้วงนี้หดหู่และสิ้นหวังไม่ต่างอะไรกับการที่กำลังถูกรัฐจับมัดโซ่ตรวนเป็น“แพะบูชายัญ”บวงสรวงพิธีกรรมไล่ฝุ่น PM 2.5 เพื่อความสงบร่มเย็นสุขภาพแห่งมวลประชา ทว่า พวกเขาจะได้รับเกียรติถูกจารึกไว้ใน“คัมภีร์ไล่ฝุ่น”หรือทรงคุณค่าพอกับเหรียญกล้าหาญไว้เป็นที่ระลึกหรือไม่?
เพ่งกสิณในดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว…คงเหลือแต่ “สุญญตา”…ในสายตาเธอประเทศไทย!
:ปีศาจขนส่ง