บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย หรือ ซีพีเอฟ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2562 ด้วยรายได้จากการขายจำนวน 125,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของกิจการต่างประเทศที่มีสัดส่วน 67% ของรายได้จากการขายรวม โดยอีก 33% มาจากกิจการในประเทศไทย
กำไรสุทธิของบริษัท สำหรับไตรมาส 1 ปี 2562 มีจำนวน 4,279 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานของธุรกิจสุกร ของกิจการในประเทศเวียดนาม ประเทศไทย และประเทศกัมพูชาที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากภาวะราคาสุกรซึ่งลดต่ำลงอย่างมากจากภาวะล้นตลาดในงวดเดียวกันของปีก่อนได้กลับคืนสู่ภาวะปกติ รวมทั้งการบริหารจัดการด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจาก 9% ของงวดเดียวกันปีก่อน เป็น 14% ในไตรมาสที่ 1 ปีนี้
นายสุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) ซีพีเอฟ กล่าวถึงสถานการณ์โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF (African Swine Fever) ที่เกิดขึ้นในประเทศเวียดนาม ว่า อาจมีผลกระทบต่อราคาสุกรในพื้นที่ที่เกิดโรคเป็นปัจจัยที่อาจทำให้เกษตรกรมีความกังวลและรีบขายสุกรที่ยังไม่เป็นโรคเข้าสู่ตลาดก่อนเวลาอันควร ทำให้เกิดภาวะล้นตลาดในระยะสั้น ขณะเดียวกัน ผลจากการเกิดโรค ASF จะทำให้สุกรในพื้นที่เกิดโรคมีจำนวนน้อยลง อาจส่งผลให้ระดับราคาสุกรสูงขึ้นจากภาวะเนื้อสุกรขาดตลาด
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่อาจมีความผันผวนบ้างจากผลกระทบของภาวะราคาสุกรในประเทศเวียดนามที่ยังไม่นิ่งจากการเกิดโรค ASF อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานส่วนใหญ่ในกิจการอื่นๆ ดีขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน ส่วนการลงทุนนั้นบริษัทได้ให้ความสำคัญในการต่อยอดธุรกิจหรือเพิ่มมูลค่าให้กับกิจการ เช่น การเข้าซื้อบริษัท Hylife ซึ่งดำเนินธุรกิจสุกรเกรดพรีเมี่ยมในประเทศแคนาดาส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น ประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีน และมีอัตราการทำกำไรที่ดี ซึ่งผลการเข้าซื้อน่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
ในปีนี้ เมื่อรวมการเข้าลงทุนในประเทศแคนาดา ซีพีเอฟจะมีฐานการดำเนินกิจการใน 18 ประเทศ ซึ่งหลายประเทศนั้นยังมีโอกาสในการขยายธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารอีกมาก เช่น ในประเทศจีน เวียดนาม รัสเซีย สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ดังนั้น การเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากกิจการในต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายยอดขายในอีก 5 ปีที่ 800,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี โดยมีสัดส่วนยอดขายมาจากกิจการในต่างประเทศประมาณ 75% ของยอดขายรวม