ไปรษณีย์ไทย รั้งแชมป์ผู้ส่งอีคอมเมิร์ซ 54% อัพสปีดอีเอ็มเอสส่งเช้าได้เย็น-ขยายจุดสะดวกส่ง

0
446

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) โชว์ยอดส่งสินค้าออนไลน์ปีที่แล้ว 310 ล้านชิ้น ครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าครึ่ง พร้อมลุยต่ออัพเกรดอีเอ็มเอสส่งวันไหนถึงวันนั้น นำร่อง กทม. และปริมณฑล ตั้งศูนย์คัดแยกสินค้าอีคอมเมิร์ซคู่ศูนย์บริการหลังการขาย เร่งเพิ่มจุดสะดวกส่งอีกกว่า 3 พันแห่งในปี 2562

นายพิษณุ วานิชผล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจองค์กร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) เปิดเผยว่า จากความเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีมูลค่าสูงถึง 3.2 ล้านล้านบาทเมื่อปี 2561 ทำให้ไปรษณีย์ไทยมีปริมาณงานจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซสูงถึง 54% ของทั้งตลาด หรือประมาณ 310 ล้านชิ้น จากปริมาณรวม 580 ล้านชิ้น สำหรับปี 2562 ไปรษณีย์ไทย ยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการให้สามารถตอบสนองและส่งเสริมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แคมเปญ “เคียงคู่ผู้ลงมือทำ” เพื่อให้สมกับรางวัล People’s Choice Award สาขา Excellent Delivery/Logistics Management of the Year 2019 ที่ได้รับจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

นายพิษณุ กล่าวต่อว่า หนึ่งในแผนพัฒนาคุณภาพบริการเพื่อให้ไปรษณีย์เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า ได้แก่การยกระดับมาตรฐาน EMS ส่งด่วนทั่วไทย ให้สามารถส่งถึงที่หมายได้ในวันเดียวกัน หากส่งก่อน 11.00 น. โดยเริ่มนำร่องในพื้นที่ กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี ก่อนจะขยายไปยังตัวเมืองในพื้นที่ภูมิภาคต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการเปิดศูนย์คัดแยกสินค้า e-Commerce โดยเฉพาะ เพื่อรองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตั้งศูนย์ประสานงานประจำที่ทำการไปรษณีย์ (Customer Engagement Center) เพื่อดูแล บริการหลังการขาย ให้สามารถติดตามตรวจสอบสิ่งของ และเรื่องร้องเรียนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน จะมีการขยายจุดบริการฝากส่งสิ่งของในที่อื่น ๆ นอกจากที่ทำการไปรษณีย์ เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้บริการได้มากขึ้น ทั้งที่เป็นจุดส่งด่วน “EMS Point” กระจายอยู่ตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ ทุกจังหวัด ซึ่งขณะนี้มีมากกว่า 1,700 แห่ง ไม่นับรวมจุดส่งด่วนที่ร่วมมือกับพันธมิตรค้าปลีกชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Big C Supercenter และ Lotus Express โดยมีเป้าหมายจะขยายให้ได้มากถึง 1,500 สาขา ภายในปีนี้ รวมเป็นกว่า 3,200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมอำนวยความสะดวกแก่ผู้รับให้สามารถเลือกช่องทางรับสิ่งของตามความสะดวกได้มากขึ้น เช่น บริการนำจ่ายตามวันเวลาที่นัดหมาย (Flexible Delivery) หรือรอจ่าย ณ ตู้ไปรษณีย์อัจฉริยะ (iBox) ตลอด 24  ชม. เป็นต้น

“เราให้ความสำคัญกับ Customer Experience มาเป็นอันดับแรก นั่นหมายความว่าลูกค้าของไปรษณีย์ไทยจะต้องได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการใช้บริการ ทั้งด้านความสะดวกในการเข้าถึงการใช้บริการ มีจุดให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ความรวดเร็วตามมาตรฐานบริการ และบริการหลังการขายเป็นที่น่าพอใจ” นายพิษณุ กล่าวทิ้งท้าย