ขวาง “เจ้าสัวเจริญ”ฮุบทำเลทองสุวรรณภูมิ 4.4พันไร่

0
519

กลุ่มกฤษดาธานนท์ขวางเจ้าสัวเจริญฮุบทำเลทองสุวรรณภูมิ 4.4 พันไร่ ส่งทนายยื่นศาลค้านแหลกประมูลที่ีดินต่ำติดดิน แฉพิรุธจนท.รัฐสุมหัวแลนด์ลอร์ดประเมินราคาแค่วาละ 3-4,000 บาททั้งที่ 20 ปีก่อนก็สูงกว่าวาละ 12,000 เข้าไปแล้ว แถมมั่วนิ่มจับที่ดิน 3 ศาลมัดตราสังขายทอดตลาดทั้งที่มีคดีความอิรุงตุงนัง

ควันหลงกรณีเงินกู้แบงก์กรุงไทยที่อนุมัติสินเชื่อกว่า 9,900 ล้านให้กลุ่มกฤษดามหานครในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน ยังคงตามล้างตามเช็ดกันไม่จบสิ้น หลังสำนักงานบังคับคดี จังหวัดสมุทรปราการ ได้นำที่ดินทำเลทองย่านบางนา-ตราดเนื้อที่กว่า 4,400 ไร่ของบริษัทเอคิว เอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือกฤษดามหานครเดิมออกประมูลขายทอดตลาดไปเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  โดยมีบริษัท ทีอาร์เอ แลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของกลุ่มเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดีและสวนอุตสาหกรรมโรจนะ เป็นผู้ชนะประมูลไปในราคา 8,914 ล้านบาท โดยได้วางมัดจำที่ดินไปแล้ว 448.5 ล้าน และจะดำเนินการชำระส่วนที่เหลือ 8,465 ล้านภายในสิ้นเดือนตุลาที่ผ่านมานั้น

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการฮุบทำเลทองผืนงามกว่า 4,400 ไร่ของกลุ่มเจ้าสัวเจริญและนิคมโรจนะดังกล่าวส่อเผชิญอุปสรรคครั้งใหญ่ เมื่อนายวิชัย กฤษดาธานนท์ จำเลยตามคำพิพากษาที่ปัจจุบันถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ และกลุ่มบริษัทครอบครัวกฤษดาธานนท์ ได้ออกโรงคัดค้านการขายทอดตลาดครั้งนี้ โดยได้ส่งทนายเข้าร้องต่อศาลให้ระงับการขายทอดตลาดที่ดินผืนดังกล่าว โดยระบุว่ามีราคาถูกจนผิดสังเกตุ ทั้งที่ที่ดินผืนดังกล่าวตั้งอยู่ในทำเลทองย่านบางนาตราด-สุวรรณภูมิ และยังเป็นประตูสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) แต่กลับมีการตั้งราคาขายเอาไว้ต่ำสุดกู่คือ ตร.วาละ 3,000 -4,000 บาทเท่านั้น ต่ำกว่าราคาประเมินเมื่อครั้งที่กลุ่มกฤษดามหานครนำไปค้ำประกันเงินกู้กรุงไทยในช่วงปี 2543-44 ที่มีการประเมินราคาไว้ไม่ต่ำกว่า ตร.วาละ 12,000 บาท หรือต่ำกว่าในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนถึงตร.วาละ 9,000 บาท ถือเป็นการขายที่ดินทำเลทองที่ทำให้ลูกหนี้เสียสิทธิ์และถูกรอนสิทธิ์อย่างชัดเจน

“เป็นไปได้อย่างไรที่ที่ดินผืนใหญ่ในทำเลทองสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นที่ดินผืนใหญ่แปลงสุดท้ายที่ตั้งอยู่ในโซนสีม่วงที่อยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ และเป็นประตูสู่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ซึ่งเป็นที่หมายปองของนายทุนแลนด์ลอร์ดทั้งหลาย แต่กลับมีการตั้งราคาประเมินกันไว้แค่วาละ 3,000-4,000 บาทเท่านั้น ต่ำกว่าที่ตาบอดหลังเขาในต่างจังหวัดเสียอีก”

นอกจากนี้ ยังพบพิรุธการตั้งราคาขายทอดตลาดที่อ้างว่าเป็นการประเมินราคาที่ดินรายแปลงอย่างอิสระตามกฎหมายใหม่ของกรมธนารักษ์ทำให้มีการประเมินที่ดินแปลงที่ไม่ติดถนนเป็นที่ตาบอดและประเมินราคาไว้ต่ำเพียงวาละ 3,000-4,000 บาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่ ที่ดินทั้ง 215 แปลงที่ประกาศขายทอดตลาดครั้งนี้เป็นแปลงที่ต่อเนื่องกัน  และมีเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์รายเดีวกัน ซ่ึงตามหลักเกณฑ์คู่มือการประเมินราคาที่ดินของกรมธนารักษ์ ปี 2552 ข้อ 7.2 นั้นจะต้องประเมินเป็นแปลงเดียวกันทั้งโซน ดังนั้นการประมูลขายทอดตลาดครั้งนี้จึงชวนให้สงสัยว่าเป็นการจงใจเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุนแลนด์ลอร์ดที่ต้องการฮุบที่ดินทำเลทองผืนนี้มากกว่า

แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดครอบครัวกฤษดาธานนท์ กล่าวว่าการประมูลขายทอดตลาดที่ดินทำเลทองผืนนี้ของแบงก์กรุงไทยและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังพบพิรุธ มีการผนวกเอาที่ดินจาก 3 ลูกหนี้ของธนาคารที่มีคดีความคาราคาซังอยู่ถึง 3 ศาลมามัดตราสังรวมกันขายเป็นแปลงเดียว ประกอบด้วยที่ดินของบริษัทโกลเด้นเทคโนโลยีอินดัสเทรียลพาร์คจำกัดติดถนนบางนา-ตราดจำนวน 2,557 ไร่ ซึ่งยังคงมีคดีความอยู่กับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและศาลแพ่ง และที่ดินของบริษัท เคแอนด์วีอาร์เอส การ์เด้นโฮม 1,924 ไร่ ซึ่งมีคดีความอยู่กับศาลล้มละลาย จนทำให้เกิดคำถามว่าแบงก์กรุงไทยและกรมบังคับคดีเอาอำนาจอะไรมายึดที่ดินแปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาดไปพร้อมกัน ในเมื่อยังคงมีคดีความคาราคาซังกันอยู่หลายศาล

“การที่กรมบังคับคดีและแบงก์มัดตราสังเอาที่ดินทั้ง 3 แปลงใหญ่มารวมกันขายทอดตลาดเท่ากับเป็นการล็อกสเปคคนเข้าร่วมประมูลไปในตัว ทำให้ผู้ที่จะเข้าประมูลจะมีเพียงรายใหญ่นายทุนแลนด์ลอร์ดเท่านั้น จึงไม่แปลกใจที่เมื่อถึงเวลาประมูลผู้เข้าประมูลอย่างน้อย 3 รายได้หันมาจับมือกันเข้าประมูลเจ้าเดียวและกดราคาออกมาต่ำสุดกู่ ถือเป็นการประมูลที่มีเหตุอันชวนสงสัยได้ว่ามีการดำเนินการประมูลครั้งนี้อย่างมีเลศนัย ซ่ึงเรื่องดังกล่าวทางนายวิชัยและครอบครัวกฤษดาธานนท์ยืนยันจะเดินหน้าเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐผู้เกี่ยวข้องกับการสุมหัวขายที่ดินในคร้ังนี้ทั้งหมด”