พาณิชย์ฯเพิ่งตระหนักภาษิตโบราณ “ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาน” หลังส่งออกเครื่องซักผ้า-โซลาเซลล์ไปสหรัฐฯช่วง 5 เดือนลดวูบหลังมะกันใช้มาตรการกำหนดโควตา-ภาษีนำเข้า ขณะที่กลุ่มเหล็กคาดส่งออกไปสหรัฐฯปีนี้วูบกว่า 6 พันล้านบาท สั่งทำบัญชีสินค้าจับตาใกล้ชิดหวั่นสินค้ามะกัน-จีนทะลักเข้าไทยทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องถึงการออกมาตรการทางการค้าของสหรัฐและมาตรการตอบโต้ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของสหรัฐว่าจากการพิจารณาเบื้องต้น พบว่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการของสหรัฐฯแล้ว โดยเฉพาะเครื่องซักผ้าและแผงโซลาเซลล์ ที่สหรัฐฯกำหนดโควตาภาษีนำเข้าตั้งแต่ช่วงต้นปี 61 โดยในช่วง 5 เดือน(ม.ค.-พ.ค.) มูลค่าการส่งออกแผงโซลาเซลล์ลดลงถึง 50% และเครื่องซักผ้าลดลง 30% แต่ 2 รายการ มูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯไม่มากนัก “ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังถือว่าไม่มากนัก เพราะสินค้าทั้ง 2 รายการส่งออกไปสหรัฐฯมูลค่าไม่มากนัก และเป็นสินค้าของผู้ส่งออกรายใหญ่ ส่วนสินค้าของผู้ประกอบการรายเล็ก (เอสเอ็มอี)ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก”
อย่างไรก็ตาม กระทรวงฯเป็นห่วงว่าการใช้มาตรการทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆ จะขยายวงกว้างมากขึ้นและอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้ในอนาคต ขณะเดียวกัน ยังห่วงว่าอาจมีสินค้าจากทั้งสหรัฐฯ และจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังทั้ง 2 ประเทศได้ จะทะลักเข้าสู่ไทยมากขึ้น จึงได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศ จัดทำบัญชีรายการสินค้าจับตาอย่างใกล้ชิด (วอชท์ ลิสต์) เพื่อจับตาปริมาณการนำเข้ามาไทยว่าเพิ่มขึ้นอย่างไร เพื่อจะได้กำหนดมาตรการแก้ปัญหา เช่น มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (เอดี/ซีวีดี) เป็นต้น โดยให้กรมการค้าต่างประเทศ นำบัญชีวอชท์ ลิสต์ มาเสนอตนภายใน 10 วัน
สำหรับสินค้าที่น่าเป็นห่วงว่าจะทะลักเข้าไทย เช่น สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ จากจีน รวมถึงสินค้าเกษตรบางรายการจากสหรัฐฯ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งหากนำเข้ามามาก ผู้ผลิตภายในของไทยจะได้รับความเสียหายได้ โดยเฉพาะเกษตรกร จึงสั่งการให้กรมการค้าภายใน เฝ้าติดตาม และเตรียมหามาตรการแก้ปัญหาในส่วนของสินค้าเกษตรด้วย ขณะเดียวกัน สั่งให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมกับภาคเอกชนหาตลาดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงจากตลาดจีน และสหรัฐฯ และให้กรมทรัพย์สินทางปัญญา ดูแลเรื่องป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง
ด้านนายกรกฎ ผดุงจิตต์ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ พบว่าผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบแล้วจากการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐในอัตรา 25% และ 10% ตามลำดับ และคาดว่าปีนี้การส่งออกเหล็กของไทยไปสหรัฐปี 61 จะหายไปประมาณ 200,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 6,000 ล้านบาทจากที่มีการส่งออก 300,000 ตัน มูลค่า 10,000 ล้านบาท และห่วงว่า เหล็กจากทั่วโลกที่ถูกสหรัฐฯใช้มาตรการทางภาษีประมาณ 35 ล้านตันจะทะลักเข้ามาในไทย ซึ่งได้เสนอให้กระทรวงพาณิชย์ทำวอชท์ ลิสต์เป็นรายสินค้า เพื่อติดตามปริมาณการนำเข้าและใช้มาตรการป้องกันเช่น เซฟการ์ด เป็นต้น