“4 พันธมิตร”บูรณาการภาคขนส่ง ยกระดับ’สิงห์รถบรรทุก’สายพันธุ์ใหม่!

0
719

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาคขนส่งยังครองแชมป์ใช้พลังงานในสัดส่วนที่สูงกว่าสาขาอื่นๆร้อยละ 40.6 และยังพบว่าการขนส่งทางบกได้รับความนิยมมากเป็นอันดับหนึ่งกว่าการขนส่งรูปแบบอื่น คิดเป็นเชื้อเพลิงร้อยละ 78 แม้จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่ก็ยังเป็นปัญหาหนักอกเมื่อพลังงานที่ถูกเผาผลาญไปอย่างมหาศาลในแต่ละปี

และจากนโยบายภาครัฐที่ต้องการลดค่าความเข้มของการใช้พลังงานของประเทศลงร้อยละ 30 ในปี 2579 ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันอนุรักษ์พลังงาน มิเช่นนั้นอาจจะสายเกินแก้

ล่าสุด 4 พันธมิตร “พพ.-ขบ.-กพร.-สขบท.” ผนึกกำลังลงนาม MOU จัดโครงการฝึกอบรมทักษะ “ผู้ขับขี่รถบรรทุก-รถโดยสาร” เพื่อการประหยัดพลังงาน-ปลอดภัย ภายใต้โครงการ “Eco Driver Energy Saving” เพื่อพัฒนาและยกระดับอาชีพพนังงานขับรถให้ได้คุณภาพและเป็นที่ยอมรับ มุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการ-ผู้ขับขี่รถบรรทุกได้ตระหนักเและเล็งเห็นคุณค่าการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม คู่ขนานกับจิตสำนึกที่ดีในฐานะผู้ขับขี่ที่คำนึงถึงความปลอดภัยบนท้องถนน

โดยทั้ง 4 พันธมิตรจะบูรณาการบทบาทหน้าที่ปูพรมอบรมเข้มผู้ขับขี่รถใหญ่ 5,000 คนทั่วประเทศผ่านคอร์สฝึกอบรมเข้มทั้งภาคทฤษฏี-ปฏิบัติ คาดสามารถลดใช้ผ่านภาคปฏิบัติขับรถบรรทุกจริง คาดส่งผลดีเกิดการประหยัดพลังงาน 8 Ktoe/ปี คิดเป็นปริมาณน้ำมันดีเซล 9.2 ล้านลิตร/ปี ประหยัดเงินกว่า 248 ล้าน/ปี และลดการปล่อย CO2 ได้ 50 ล้านกิโลกรัม/ปี

สร้างจิตสำนึกผู้ขับขี่ “ประหยัดพลังงาน-ปลอดภัย”

นายประพันธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) เปิดเผยว่าต้องยอมรับว่านับวันประเทศไทยเรายิ่งใช้พลังงานภาคขนส่งมากที่สุด และทีสำคัญการขนส่งทางถนนก็ยิ่งนับวันได้รับความนิยมสูงสุดกว่าบรรดาการขนส่งรูปแบบอื่นๆ ปีหนึ่งๆมีการใช้พลังงานไปมหาศาล ดังนั้น  ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงาน

“เมื่อช่วงต้นปีของปีที่แล้ว คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง เพื่อบูรณาการและขับเคลื่อนนโยบายการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่งระหว่างหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องผ่านแผนอนุรักษ์พลังงานที่ประกอบด้วย 11 มาตรการหลัก ซึ่งมาตรการการขับขี่เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เป็นหนึ่งในมาตรการหลักที่พพ.ได้ดำเนินการอยู่ โดยพพ.ได้จัดทำโครงการพัฒนาผู้ขับขี่รถบรรทุกเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในธุรกิจขนส่งสินค้า โดยเป็นความร่วมมือกับอีก 3 หน่วยงาน ทั้งกรมการขนส่งทางบก กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย มุ่งเน้นการฝึกอบรมและพัฒนาผู้ขับขี่รถบรรทุกและรถโดยสารให้รู้ถึงบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบที่ดีต่ออาชีพตัวเอง”

นอกจากนี้ นายประพันธ์  ระบุต่อว่าอีกทั้งยังเป็นการยกระดับวิชาชีพเพื่อให้เป็นผู้ขับขี่ที่มีคุณภาพ  ตระหนักถึงความปลอดภัยและประหยัดพลังงานควบคู่กันไป ตลอดทั้งโครงการในปีแรกนี้จะเป็นอบรมผู้ขับขี่ที่เข้าร่วมโครงการนี้ทั้งหมด 5,000 ทั่วประเทศ คาดจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้องค์ความรู้และทักษะการขับขี่เพื่อประหยัดเชื้อเพลิงและปลอดภัย และส่งผลดีเกิดการประหยัดพลังงาน 8 Ktoe/ปี คิดเป็นปริมาณน้ำมันดีเซล 9.2 ล้านลิตร/ปี ประหยัดเงินกว่า 248 ล้าน/ปี และลดการปล่อย CO2 ได้ 50 ล้านกิโลกรัม/ปีอีกด้วย

เพิ่มขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์

ด้านนายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.)  กล่าวว่ากรมฯตระหนักถึงความสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและส่งเสริมการดำเนินการด้านโลจิสติกส์ของประเทศที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชนที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง

“ความลงนามความร่วมมือ 4 หน่วยงานครั้งนี้ เพื่อร่วมกันดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558 – 2579 ของประเทศ ต้องลดการใช้พลังงานลง 30% ภายในปี 2579 เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้ขับรถบรรทุกและรถโดยสารให้ตอบสนองต่อนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงาน, การพัฒนาและยกระดับฝีมือแรงงาน, การพัฒนามาตรฐานการขับขี่และความปลอดภัยบนท้องถนน, การพัฒนาบุคลากรของผู้ประกอบการขนส่งเพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ, การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมผู้ขับขี่ทั้งในภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ เพื่อการถ่ายทอดความรู้ การพัฒนาทักษะ และการสร้างจิตสำนึกเพื่อการขับขี่ที่ประหยัดพลังงานและมีความปลอดภัย

สร้างมาตรฐานวิชาชีพภาคขนส่ง-ดูดแรงงานใหม่ในตลาด  

ฟากนายสุรพล พลอยสุข รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เปิดเผยว่าภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ โดยเฉพาะการทำหลักสูตรเทคนิคการขับรถให้ปลอดภัยและประหยัดของกรมฯ โดยมุ่งเน้นการพัฒนามาตรฐานวิชาชีพรถบรรทุกและรถโดยสารในธุรกิจขนส่ง นำไปสู่การพัฒนาฝีมือกำลังแรงงานแห่งชาติในสาขาการขนส่งและโลจิสติกส์

“กรมฯได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ช่วยให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจและสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจาการขับขี่ และลดต้นทุนการใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิง สถานประกอบการเองก็จะใช้เป็นเครื่องมือการวัดความสามารถของบุคลากร และพิจารณาเลื่อนตำแหน่งหรือกำหนดอัตราจ้างตามความสามารถที่แท้จริง  และเป็นแรงดึงดูดแรงงานใหม่ในตลาดแรงงานให้หันมาสนใจวิชาชีพด้านการขนส่งได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย”

สร้างจิตสำนึกความปลอดภัย-ใช้พลังงานคุ้มค่า

ขณะที่ดร.ทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย (สขบท.) กล่าวตลอดเวลา 20 ปีของการก่อตั้งสหพันธ์ฯทางเราได้รณรงค์กับผู้ประกอบการให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการใช้ถนนและแก้ปัญหาการจราจรด้วยดีมาตลอด อีกทั้งยังมีเรียกร้องให้มีระบบการบริการและอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นอกจากเหตุผลเพื่อการทำธุรกิจแล้ว ยังมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของส่วนรวม และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่สุด

“ความร่วมมือภายใต้โครงการนี้ เราคาดหวังอย่างยิ่งที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาพนักงานขับรถบรรทุกให้ได้รับความรู้ที่ถูกต้อง และการเพิ่มทักษะด้านการควบคุมยานพาหนะหรือการขับรถขนาดใหญ่ การใช้เส้นทางและการจราจร ร่วมกับผู้อื่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยและการประหยัดพลังงาน เช่น ระบบ GPS และระบบ IT ที่เกี่ยวข้อง จะเป็นการสร้างมาตรฐานวิชาชีพด้านการขนส่ง ซึ่งเรายินดีจะร่วมผลักดันโครงนี้ได้บรรลุเป้าหมายอย่างเต็มกำลัง 

นอกจากนี้ ดร.ทองอยู่ กล่าวอีกว่าบทสรุปเป้าหมายโครงการนี้จะเป็นการบูรณาการความร่วมมือเพื่อการยกระดับให้พนักงานขับรถบรรทุกและรถโดยสารให้เป็นอาชีพที่มีเกียรติและได้รับการยอมรับของคนรุ่นใหม่และสังคมทั่วไป และทำให้การกำหนดยุทธศาสตร์กำลังคนด้านโลจิสติกส์ของกระทรวงที่เกี่ยวข้องและยุทธศาสตร์ของชาติย่อมประสบผลในอนาคตอย่างน่าพอใจ

 

นึ่คือการบูรณาการครั้งสำคัญของ 4 พันธมิตร เพื่อสร้างปรากฏการณ์หน้าใหม่ภาคขนส่ง พุ่งชนเป้าหมายกรยกระดับและสร้างมาตรฐานใหม่ “สิงห์รถบรรทุก”สายเลือดใหม่ที่ใส่ใจการประหยัดพลังงานและความปลอดภัย