หากเอ่ยชื่อ “สามมิตรมอเตอร์ส”ผู้คลุกคลีตีโมงในแวดวงขนส่งเมืองไทยน้อยนักที่จะไม่รู้กิตติศัพท์อันลือเลื่องนี้ เพราะชื่อนี้การันตีได้ถึงคุณภาพและมาตรฐานสากลอันเป็นที่ยอมรับและเข้าไปนั่งอยู่กลางบัลลังก์ใจผู้ประกอบขนส่งไทย ประจักษ์พยานพิสูจน์ได้จากโลโก้ “SMM”ที่ติดท้ายอยู่บั้นท้ายรถบรรทุกที่โลดแล่นบนท้องถนนทั่วทุกภูมิภาคของไทย ด้วยวงล้อแห่งการดำเนินธุรกิจเหลืออีกเพียง 1 ขวบปี อาณาจักรยิ่งใหญ่ระดับตำนานนี้จะเดินทางไกลมาถึงหลักกิโลแห่งการตะบันธุรกิจครบ 60 ปี
ล่าสุด สามมิตรมอเตอร์ส ค่ายยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตตัวถังรถเพื่อการพาณิชย์ที่ครองความเป็น “เบอร์หนึ่ง”ของตลาดมาอย่างยาวนาน ได้ปฏิบัติการ “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว”ด้วยการฉีกหน้าประวัติศาสตร์การรับประกันผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีค่ายอื่นกล้าเปิดหน้าม่านกลยุทธ์การตลาดแบบนี้ในไทย
จากเดิมรับประกัน 2 ปีที่ถูกใช้เป็น “อาวุธเด็ด”ทางการตลาดมานานครบทศวรรษ ถูกปรับเปลี่ยนสู่ทิศทางใหม่ไฉไลกว่าเดิมเพิ่มเป็น 3 ปี หวังการันตี “ความมุ่งมั่นและยกระดับคุณภาพ”การผลิตสินค้าที่วางใจได้ ส่งต่อความพึงพอใจให้กับลูกค้าเก่าและเป็นแม่เหล็กดึงดูดกำลังซื้อจากลูกค้าใหม่ สยายปีกเติบโตในตลาดอาเซียน กล้าลงทุน R&D หนุนเติบโตและเป็นผู้นำตลาดอย่างยั่งยืน ยันปีนี้โต 5% คาดเศรษฐกิจปีหน้าดีดตัวสูงขึ้น ตั้งเป้ารายได้เพิ่ม 30 %
เพิ่มประกัน 3 ปียกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์
คุณสุริยา โพธิ์ศิริสุข กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามมิตรมอเตอร์สแมนูแฟคเจอริง จำกัด (มหาชน) หรือ SMM เปิดเผยถึงแนวคิดการปรับเพิ่มรับประกันจาก 2 ปีเป็น 3 ปีว่าการเพิ่มการรับประกันครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของเราขึ้นมา เพราะปัจจุบันเราก็เป็นเจ้าตลาดด้านการผลิตตัวถังรถบรรทุกนี้และกุมความเป็นผู้นำมาตลอด และเราเองเป็นผู้ริเริ่มการรับประกัน 2 ปีเป็นเจ้าแรกในไทย และใช้เป็นกลยุทธ์การตลาดนี้มานานเป็น 10 ปีแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ควรปรับใหม่เพื่อยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ขึ้นอีกระดับหนึ่ง และเชื่อมั่นว่าเราเป็นเจ้าเดียวในไทยที่กล้าออกประกันเป็น 3 ปี
“เราไม่ได้มองแค่การเติบโตและครองความเป็นผู้นำในไทยเท่านั้น เรายังมองการณ์ไกลจะเติบโตอนาคตข้างหน้าอีกด้วย ในไทยเราไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้น สามมิตรฯจึงได้ขยายตลาดไปยังตลาดอาเซียนเกือบทุกประเทศแล้ว โดยสัดส่วนตลาดในไทย 90 % ส่วนส่งออกเป็น 10 % การรับประกัน 3 ปีเป็นการการันตีถึงความถึงพึงพอใจและประทับใจในคุณภาพสินค้าของเราได้เลยว่าสินค้าที่ลูกค้าซื้อไปจากเราจะคุ้มค่ากับการลงทุนธุรกิจของลูกค้า ซึ่งเรายึดมั่นมาตลอดภายใต้แนวคิดของสามมิตรฯที่ว่า “คงทน คุ้มค่า ปลอดภัย” ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์การตลาดคู่ขนานไปกับการบริการหลังการขายที่ปัจจุบันเราได้สร้างเครือข่ายศูนย์ให้บริการ (ศูนย์ Co-service) มากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วย ศูนย์บริการฮีโน่, อีซูซุ, ฟูโซ่, ยูดี ภายใต้การรับประกัน 3 ปี สามารถตรวจเช็คฟรี 6 ครั้งในช่วงการรับประกัน เพื่อย้ำความเป็นผู้นำการผลิตกระบะรถบรรทุกยอดขายอันดับหนึ่งในประเทศภายใต้แนวคิด One Stop Logistics Solution Provider”
นอกจากนี้ การรับประกัน 3 ปีนี้เป็นการประกันที่ครอบคลุมอุปกรณ์ทุกชนิดที่ถูกผลิตขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์สามมิตรฯยกเว้นอุปกรณ์และอะไหล่ที่สึกหรอ เช่น บูทยาง ที่ต้องเปลี่ยนตามอายุการใช้งาน เป็นต้น แต่โดยฟังก็ชั่นต่างๆไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่าง เพลา หรือระบบไฮดรอลิกยกดัมพ์ เป็นต้น เรารับประกัน 3 ปีให้
สร้างผลกำไรให้ลูกค้ามากสุด
อย่างไรก็ตาม กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ SMM กล่าวอีกว่าด้วยคอนเซ็ปต์ของผลิตภัณฑ์สามมิตรฯถูกวางไว้ คือ “คงทน คุ้มค่า ปลอดภัย” บวกกับกับความเข้าใจที่เราอยู่วงการนี้มานานกว่า 30 ปี และสามมิตรฯที่ได้ก่อตั้งมาอีก 1 ปีก็จะครบ 60 แล้ว เราจึงเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี สินค้าทุกชนิดที่ลูกค้าซื้อไปผมถือว่ามันจะเป็นเครื่องจักรในการใช้งานก่อให้เกิดผลกำไรให้กับธุรกิจของลูกค้าอย่างคุ้มค่ามากที่สุด เราจึงคิดค้นและดีไซน์ผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ตรงจุด
“เราเริ่มประกาศกลยุทธ์ตลาดการรับประกัน 3 ปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึงวันนี้ก็มีกระแสตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี ซึ่งการประกัน 3 ปีนี้จะเป็นการเสริมสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเก่าว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ของสามมิตรฯได้รับประกัน 3 ปีแล้ว และอีกนัยหนึ่งก็เป็นการดึงดูดการตัดสินใจกำลังซื้อของลูกค้าใหม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”
ถึงกระนั้น เราได้คุยกับดีลเลอร์และคู่ค้าของเราไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่ารถที่อยู่ในสต็อกตามเอเย่นต์รถทั้งหมดของสามมิตรฯ เมื่อเราประกาศนโยบายนี้ไปแล้ว รถที่ขายออกไปตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.เรารับประกัน 3 ปีทั้งหมด หรือแม้แต่จะมีการสั่งซื้อก่อนหน้าวันที่ 1 ก.ย.แต่มีการส่งมอบวันที่ 1 ก.ย.เป็นต้นมา หรือสั่งซื้อไปแล้วก่อนหน้านี้แต่รถถูกเก็บสต็อกอยู่ที่เอเย่นต์ต่างๆ ถ้าเมื่อไหร่ถูกส่งมอบถึงมือลูกค้าตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.เป็นต้น เราถือว่าเป็นวันเริ่มต้นแห่งการได้สิทธิ์รับกันประกัน 3 ปีนี้ทันที
ตั้งเป้าปีหน้าฟันรายได้โต 30 %
อย่างไรก็ดี คุณสุริยา ให้ทรรศนะถึงมุมมองต่อภาพรวมตลาดปีนี้และแนวโน้มปีหน้าว่าเราเป็นผู้นำตลาดที่ครองสัดส่วนตลาดมากกว่า 50 % ภาพรวมของตลาดรถดัมพ์ทั้งหมดปีนี้คงจะถึง 1 หมื่นคัน ขณะที่ภาพรวมยอดขายของทุกผลิตภัณฑ์สามมิตรฯจนถึงวันนี้เราขายไปกว่า 6 พันคัน แรกเริ่มเราคาดการณ์ตลาดปีนี้ว่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ทำให้เรากล้าตั้งเป้าที่จะโตเพิ่มขึ้น 30% แต่เอาเข้าจริงๆแล้วหลังผ่านช่วงครึ่งปีหลังการซื้อขายหดตัว บวกกับอยู่ในช่วงของฤดูฝนด้วย ดังนั้น ทั้งปีเราน่าจะมีรายได้โตเพิ่มขึ้นจากปีแล้ว 5%
“แม้ภาพรวมตลาดจะถดถอยในปีนี้ แต่เชื่อว่าในปีหน้าหากโครงการลงทุนของภาครัฐมีการขับเคลื่อนการลงทุนและใส่เม็ดเงินเป็นจำนวนมาก เข้าใจว่าตลาดจะเติบโตและดีขึ้น โดยเราตั้งเป้าโตเพิ่มขึ้น 30 % และอีก 2-3 ปีข้างหน้า สามมิตรฯ มีนโยบายรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้นด้วยการเน้นการผลิตด้วยระบบ Artificial Intelligence หรือ AI มากขึ้น มุ่งสู่การผลิตด้วยหุ่นยนต์อัตโนมัติ ลดสัดส่วนการใช้แรงงานของบุคลากรในบริษัทฯ ปัจจุบันมีจำนวนพนักงาน รวม 1,900 คน แบ่งเป็นธุรกิจสายการผลิตตัวถังรถเพื่อการพาณิชย์ 600 คน ขณะเดียวกันเราจะมีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อที่จะมารองรับกระบวนการผลิตอัตโนมัตินี้อีกด้วย”
กล้าลงทุน R&D สินค้าตอบโจทย์ลูกค้า
เมื่อถามถึงอะไรคือจุดแข็งของสามมิตรฯที่สามารถยืนหยัดความเป็นผู้นำตลาดจนถึงวันนีั้ได้นั้น กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ SMM เปิดเผยว่าอย่างแรกต้องยกให้เป็นเรื่องของวิสัยทัศน์และพันธกิจที่ถูกปักธงเอาไว้ว่า เป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้นสร้างระบบขนส่งที่คุ้มค่าให้กับลูกค้า อีกทั้งสามมิตรฯยังอาศัยช่องว่างของตลาด และความกล้าที่จะลงทุน หากย้อนกลับเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ประเทศไทยยังไม่มีใครลงทุนตั้งโรงงานผลิตไฮดรอลิกใหม่ๆ แต่สามารถก็กล้าลงทุนตรงนั้น เพราะเรามองจากเวลานั้นว่าอนาคตประเทศไทยต้องเติบโตและมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การก่อสร้างต่างๆก็ต้องเกิดขึ้น เราจึงตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานไฮดรอลิกแห่งแรกในไทย โดยยอมไปซื้อเทคโนโลยีจากญีปุ่น เพราะถือว่าเป็นหัวใจของรถดัมพ์
“หลังจากที่เราผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดแล้ว เราก็ค่อยมาคิดว่าจากเดิมที่เราไปซื้อโนว์ฮาว(Know How)ต่างๆมา ถ้าเรามาสร้างและต่อยอดเองน่าจะดี เราจึงมาเร่ิ่มกระบวนการ R&D แล้วดีไซน์รูปแบบสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทำให้สินค้าของเราเข้าสู่ตลาดและสอดรับกับความต้องการของลูกค้าได้ง่ายขึ้น เมื่อถึงเวลาหนึ่งความต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น เราเองก็กล้าลงทุนเพิ่มกำลงการผลิตมากขึ้นเพื่อไม่ให้เสียโอกาส ระยะต่อมาเมื่อคู่แข่งในตลาดมากขึ้น เราก็ต้องพลิกเกมสู้ด้วยการตอบสนองต้นทุนที่ดีพอและการผลิตที่รวดเร็วพอ ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องดูที่การบริการที่ตอบสนองลูกค้าให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้วงล้อธุรกิจลูกค้าหยุดนิ่ง เมื่อใดก็ตามที่ล้อหยุดวิ่งเมื่อนั้นต้นทุนของเขาก็ย่อมเพิ่มขึ้น ดังนั้น เราจึงต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด เมื่อลูกค้าโตเราเองก็ย่อมโตตามไปด้วย” คุณสุริยา กล่าวในที่สุด