“ไอเคโอ”ประกาศข่าวดี ปลดธงแดงประเทศไทยแล้ว ประกาศผ่านเวปไซต์ออกไปท่ัวโลก ด้าน กทพ. ขอเช็คความชัดเจนเป็นทางการก่อนชี้เป็นข่าวดีต่ออุตสาหกรรมการบินของไทย สะท้อนความสำเร็จในการแก้ไขมาตรฐานด้านการบิน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงคมนาคม วานนี้( 7 ต.ค.)ว่า เว็บไซต์ www.icao.int เว็บไซต์อย่างเป็นทางการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ ICAO ) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านการบินระดับโลกได้เผยแพร่ข้อมูลผลการตรวจสอบมาตรฐานด้านการบินล่าสุด โดยได้ทำการปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยออกแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ประเทศไทยถูกไอเคโอปักธงแดงหน้าชื่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา เนื่องจากไอเคโอตรวจพบข้อบกพร่องที่มีนัยยะสำคัญต่อความปลอดภัยด้านการบิน Significant Safety Concerns : SSC)(เอสเอสซี)จำนวน 33 ข้อ ในโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยสากล (ยูโซฟ) ทำให้ที่ผ่านมาสายการบินที่จดทะเบียนในไทยถูกลดความน่าเชื่อถือ ได้รับผลกระทบทั้งการห้ามเปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศ ห้ามเพิ่มความถี่เที่ยวบิน และบางประเทศไม่อนุญาตให้บินเข้าประเทศด้วย
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) เปิดเผยว่า จากการสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ไอเคโอในไทย เกี่ยวกับการปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทย ได้รับคำตอบว่า ไอเคโอได้ประกาศปลดธงแดงออกแล้วจริงๆ เนื่องจากเมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมาสำนักงานใหญ่ไอเคโอ ที่เมืองมอนทริออล ประเทศแคนาดา ได้มีการประชุมพิจารณาผลการตรวจสอบประเมินมาตรฐานด้านความปลอดภัยของไทย หลังจากส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบฯ ที่ประเทศไทยในช่วงวันที่ 20-27 ก.ย.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าที่ประชุมให้การรับรองผลการตรวจสอบดังกล่าว จึงทำให้ประเทศไทยได้รับการปลดธงแดงออกจากหน้าชื่อประเทศไทย หลังจากติดธงแดงมานานกว่า 2 ปี
“ถือเป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทย ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ กพท. สายการบิน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องต่างๆ ทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติด้านการบินไปได้ และทำให้ประเทศต่างๆ กลับมาให้การยอมรับในมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยอีกครั้ง นอกจากนี้อุตสาหกรรมการบินของไทยจะได้รับการยอมรับในระดับมาตรฐานสากล ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เดินทางทางอากาศมีความมั่นใจที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น ขณะที่สายการบินต่างๆ ทั่วโลก ก็จะเปิดจุดบินใหม่ๆ และขยายเส้นทางการบินเข้ามาที่ไทยเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามหลังจากนี้คงต้องรอหนังสือแจ้งผลการรับรองอย่างเป็นทางการ คาดว่าน่าจะส่งมาถึง กพท. ในสัปดาห์หน้า”
นายจุฬา กล่าวด้วยว่า จากนี้ไปสายการบินที่จดทะเบียนในไทย และได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (เอโอซี) จาก กพท.แล้ว จะสามารถเปิดเส้นทางบินไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ได้ตามปกติ โดยเฉพาะในตลาดญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ยกเว้นประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สายการบินของไทยยังไม่สามารถเข้าไปเปิดเส้นทางบินได้ เนื่องจากปัจจุบันสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา(เอฟเอเอ) ลดอันดับให้ไทยมีมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินอยู่ในระดับ 2 ต้องรอให้เอฟเอเอ ประกาศเพิ่มระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินอยู่ในระดับ 1 ก่อน จึงจะสามารถทำการบินเข้าสหรัฐอเมริกาได้
นายจุฬา กล่าวด้วยว่า หลังจากได้รับหนังสือแจ้งผลการรับรองปลดธงแดงจากไอเคโอแล้ว กพท. จะทำหนังสือไปยังเอฟเอเอ เพื่อแจ้งให้ทราบเรื่องดังกล่าวด้วย พร้อมทั้งจะเร่งแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องต่างๆ ที่เป็นข้อจำกัดที่ทำให้เอฟเอเอยังไม่ประกาศเพิ่มระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้ไทย เช่น การออกใบอนุญาตนักบิน ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะยื่นเรื่องให้เอฟเอเอเข้ามาตรวจสอบซ้ำได้ เพื่อประกาศเพิ่มระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินเของไทยให้อยู่ระดับ 1 ต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเวลานี้ไทยจะได้รับการปลดธงแดงจากไอเคโอแล้ว แต่ กพท. ต้องเร่งดำเนินการออกเอโอซีให้กับสายการบินที่ทำการบินระหว่างประเทศที่เหลืออีก 10 สายการบินให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ตามนโยบายของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม พร้อมกันนี้ต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัยทางด้านการบินไว้แบบนี้ตลอดไป เพราะไอเคโอสามารถเข้ามาติดตาม และตรวจสอบไทยได้ทุกเวลา หากพบข้อบกพร่องก็จะถูกปักธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยอีก ซึ่งจะส่งผลให้สายการบินต่างๆ กลับมาถูกจำกัดสิทธิ์ ทั้งการเพิ่มเที่ยวบิน เปิดเส้นทางบินใหม่ๆ และการห้ามบินเข้าประเทศเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามตนได้รายงานเรื่องไอเคโอปลดธงแดงให้ไทยให้นายอาคม ได้ทราบแล้ว โดยรัฐบาลเตรียมแถลงใหญ่วันที่ 9 ต.ค.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้สอบถามไปยังผู้บริหารสายการบินต่างๆ ทั้งสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ(ฟูลเซอร์วิส) และสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์) ต่างมีท่าทีแสดงความยินดี พร้อมกับมีแผนเปิดเส้นทางบินใหม่ในต่างประเทศมากมาย รวมทั้งรักษาฐานการบินในประเทศ ซึ่งจะทำให้หลังจากนี้อุตสากรรมการบินของไทยจะกลับมาคึกคัก และมีศักยภาพสามารถแข่งขันกับสายการบินต่างประเทศได้มากขึ้น.