ชำแหละภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ ‘หายนะครั้งใหญ่’ของเศรษฐกิจไทย?

0
564

1 ในภารกิจที่รัฐบาลคสช.ประกาศให้ความสำคัญลำดับต้นๆ ก็คือการ “ยกเครื่อง” ปฏิรูปกฎหมายที่ล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้กฎหมายก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นกลไกเอื้อต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ! 

1 ในกฎหมายที่รัฐบาลชุดนี้กำลังโม่แป้งอยู่ก็คือ “ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2560” ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้ความเห็นชอบไปตั้งแต่กลางปี 2559 ก่อนจะมีการปรับปรุงแก้ไขร่างเพิ่มเติม (มติ ครม.วันที่ 23 มี.ค.2560) ส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)พิจารณา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาวาระ 2 และ 3

โดยรัฐบาลและกระทรวงการคลังผู้ยกร่างฯคาดว่าจะดีเดย์บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2562

ทุกฝ่ายได้สดับตรับฟังสิ่งที่รัฐบาลและกระทรวงคลังชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการปรับปรุงยกร่างกม.ฉบับนี้ที่จะมาทดแทน พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475” และ “ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508” ที่ใช้กันมานาน ทำให้มีข้อจำกัด ขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้ พร้อมยืนยันอย่างหนักแน่นไม่ได้มีเป้าหมายใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือในการรีดภาษีเข้ารัฐ แต่เป็นการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย เป็นเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำในสังคม กระจายการถือครองที่ดิน และเพื่อให้มีการนำที่ดินรกร้างมาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในทางเศรษฐกิจ

แต่เมื่อหอการค้าไทย-สมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง สภาหอการค้าไทย ร่วมกันคลี่เนื้อหาร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่กลับพบว่า กฎหมายภาษีที่ดินใหม่ฉบับนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ทั่วประเทศ!!!  

ข้ออ้างที่กระทรวงการคลังยืนยันว่าประชาชนคนไทยกว่า 90% จะไม่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ ข้อเท็จจริงกลับเป็น”หนังคนละม้วน” จนอาจกล่าวได้ว่าอาจนำมาซึ่ง “หายนะ”ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศ !!!

คลี่เนื้อหา.กม.ภาษีที่ดินฯ2560

ร่างกม.ภาษีที่ดินฯใหม่ที่คลังฯได้แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีการแยกประเภทการใช้ที่ดิน 4 ประเภท และแก้ไขเพดานอัตราภาษีใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันประกอบด้วย 1.ที่ดินเพื่อการเกษตร กำหนดเพดานภาษี 0.2% และยกเว้นเก็บภาษีสำหรับที่ดินที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท

2.ที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย เพดานภาษี 0.5% เว้นภาษีบ้านหลังแรกที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้าน ส่วนบ้านหลังที่ 2 ที่มีมูลค่าเกิน 5 ล้านบาทกำหนดอัตราภาษีตั้งแต่ 0.03-0.30% 3.ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ กำหนดเพดานภาษี 2% จัดเก็บตามมูลค่าทรัพย์สินไม่เกิน 20 ล้านเก็บ 0.3% ไปจนถึง 1.5%สำหรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าเกิน 3,000 ล้านขึ้นไป และ 4.ที่ดินรกร้างว่างเปล่าจัดเก็บภาษี 2%ใน 3 ปีแรกและปรับเพิ่ม 0.5%ในทุก 3 ปีสูงสุดไม่เกิน 5%                                                                    

แม้รัฐจะมีการแยกประเภทการใช้ที่ดิน แต่ด้วยโครงสร้างอัตราภาษีที่แตกต่างกันอย่างมากถึง 40-100% โดยเฉพาะระหว่างที่ดินเกษตรกรรม(เพดาน 0.2% ) กับที่ดินเพื่อการพาณิชย์ที่กำหนดเพดานภาษีตั้งแต่ 0.3-2% และที่รกร้างว่างเปล่า (ภาษี 2-5%) เมื่อประกอบกับการกำหนดนิยามการใช้ที่ดินที่ขาดความชัดเจน ย่อมก่อให้เกิดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองท้องถิ่นที่จะเป็นองค์กรบังคับใช้กฎหมาย ทุกฝ่ายจึงหวั่นเกรงว่ามันจะกลายเป็นช่องทางก่อให้เกิดการทุจริตครั้ง “มโหฬาร”

ร้านค้า ปั๊ม อพาร์ทเมนท์ในเมืองจ่อสูญพันธุ์

แน่นอน! หากพิจารณาเนื้อหากม.โดยผิวเผิน ภาษีที่ดินใหม่คงไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนโดยทั่วไป เพราะส่วนใหญ่ 90% ถือครองที่ดินที่อยู่อาศัยมูลค่าไม่เกิน 20-50 ล้านที่ได้รับยกเว้นภาษีอยู่แล้ว มีเพียงส่วนน้อยราว 10% เท่านั้นที่อาจได้รับผลกระทบ

แต่ในข้อเท็จจริง หากเป็นที่ดินสิ่งปลูกสร้างใจกลางเมืองในย่านธุรกิจอย่างสีลม สุรวงศ์ เจริญกรุง เยาวราช หรือสุขุมวิท หรือแม้แต่ตามหัวเมืองใหญ่ ซึ่งพื้นที่ดินแค่ 100-200 ตรว.ในย่านใจกลางเมืองเหล่านี้ก็มีมูลค่าเป็น 50-100 ล้านไปแล้ว มีสิทธิ์โดนภาษีเต็มๆ

ทั้งนี้ กลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีใหม่อย่างหนัก ก็คือวิสาหกิจขนาดย่อม SME ที่ปัจจุบันอยู่ใน โดยเฉพาะกิจการที่ใช้ที่ดินมาก แต่ให้ผลตอบแทนต่ำ อาทิ สถานีบริการน้ำมัน-แก๊ส คาร์แคร์ ตลาดสด หอพัก อพาร์ทเมนต์ราคาถูก สถานที่จอดรถ หรือกิจการห้องแถวที่เดิมไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่หรือเสียน้อย แต่เมื่อต้องถูกประเมินและเสียภาษีตามโครงสร้างภาษีใหม่ รายได้จากค่าเช่าและการประกอบกิจการค้าขายเล็กๆน้อยๆที่ได้เหล่านี้จะไม่คุ้มภาระภาษีที่ต้องแบกรับ สุดท้ายอาจต้องเลือกปิดกิจการหรือขายที่ดินออกไป

ที่ตาบอด -ริมน้ำ-แก้มลิง…โดนหางเลขถ้วนหน้า!

แม้แต่ “ที่ตาบอด” ที่ดินที่ถูกปิดทางเข้า-ออก ไม่สามารถจะขายออกไปได้ขายได้ยาก หรือที่ดินที่ถูกรอนสิทธิ์อยู่ในแนวเขตเวนคืน อยู่ในเขตผังเมืองที่ห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หากถูกประเมินภาษีตามอัตราใหม่เจ้าของไม่มีทางจะแบกรับภาระได้อยู่แล้ว จะขายก็ไม่ได้โอนก็ไม่ได้ แต่กลับถูกเรียกเก็บภาษีรายปีโดยไม่มีข้อยกเว้น

อีกกลุ่มที่จะโดนหางเลขเต็มๆ ก็คือที่ดินริมเเม่น้ำเจ้าพระยา หรือแม่น้ำสายอื่นๆ บ่อปลาหรือพื้นที่รองรับน้ำตลอดริมน้ำเจ้าพระยาที่ส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่  ยิ่งหากปล่อยทิ้งร้างเอาไว้เพราะทำเกษตรอะไรไม่ได้ ที่ดินเหล่านี้จะต้องถูกประเมินตีมูลค่าและเรียกเก็บภาษีตามประเภทใช้งาน ทำให้ที่ดินเหล่านี้ที่ทำประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้จะไม่อยู่ในสภาพที่จะจ่ายภาษีที่ดินได้ถูกบีบให้ต้องขายออกไป

ส่วนที่ดินที่เจ้าของทำสัญญาปล่อยเช่าระยะยาวออกไป ก็มีสิทธิ์โดนหางเลขจนอาจก่อให้เกิดปัญหาฟ้องร้องกันตามมา เพราะจะกลายเป็นข้อถกเถียงใครจะเป็นผู้จ่ายภาษีหากไม่มีข้อตกลงกันเอาไว้แต่ต้น แต่กฎหมายนั้นกำหนดให้เจ้าของที่ดินเป็นผู้จ่ายภาษี ซึ่งหากสัญญาเช่าที่ทำไว้ไม่คุ้มค่าภาษีที่ต้องแบกรับ

หรือกรณีที่ดินรกร้างที่ต้องเสียภาษีอัตราก้าวหน้าปีที่ 1-3 ในอัตรา 2% และปรับขึ้น 0.5% ในทุก 3 ปี เท่ากับบีบให้เจ้าของเร่งทำผลประโยชน์ “หากที่ดินเหล่านี้ต้องถูกบังคับขายออกมาพร้อมๆกันหลังจากเจ้าของเดิมไม่สามารถแบกรับภาระภาษีได้ อะไรจะเกิดขึ้น ราคาที่ดินอสังหาฯในบ้านเราจะไหลรูดทั้งหมด กระเทือนไปถึงสถาบันการเงินและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งระบบ”

เช่นเดียวกับโรงงาน โรงพิมพ์ ผู้ประกอบการหนังสือพิมพ์ ที่มีเครื่องจักรทันสมัยมูลค่ารวม 500-600 ล้านบาท ก็ต้องแบกภาระภาษีตัวนี้ปีละ 10-12 ล้านบาท รวมถึงบ้านหลังที่ 2 หรือ 3 เพื่อลงทุนหรือเป็นบ้านพักผ่อน คนจะชะลอซื้อ หรือที่มีอยู่ก็เร่งขายออกมาจนกระทั่งกระทบกับการขายบ้านใหม่

“กูรูอสังหาฯ” อัดรัฐไม่เคยสอบถาม

อธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ในฐานะกรรมการบริหารและประธานสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง สภาหอการค้าไทยแห่งประเทศ เปิดเผยว่า กฎหมายใหม่ที่กำลังจะออกมานั้น โดยส่วนตัวไม่มีข้อขัดแย้ง แต่ไม่เห็นด้วยในรายละเอียดที่มีบางข้อที่คณะทำงานอาจไม่ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบกับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี

“ประเด็นที่น่าสังเกตเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีที่ดินเพื่อการเกษตร ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ทั้งในส่วนอัตราเรียกเก็บ และเพดานที่แตกต่างกันตั้งแต่ 2-5%ซึ่งมีความแตกต่างกันถึง 40-100% นั้น เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหรือ อปท.ใช้ดุลยพินิจในการตีความว่าพื้นที่ใดเป็นพื้นที่รกร้าง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมานั่นก็คือ เขาจะจัดเก็บภาษีดังกล่าวนี้เท่าไหร่ก็ได้”

ตั้งข้อสังเกตว่า คนที่ทำร่างกฎหมายนี้ยังไม่คิดรอบคอบ เวลาร่างไม่เคยชวนคนที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในอาชีพเข้าไปมีส่วนร่วมในการหารือเลย คิดอย่างเดียวที่จะให้กฎหมายนี้ออกมาให้ทันในรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่ไม่เคยคิดถึงผลกระทบที่จะตามมาภายหลังว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง “เคยถามกันบ้างไหมใครจะแบกภาระ  เคยถามคนอื่นบ้างไหม ถามความเดือดร้อนคนอื่นบ้างไหมสุดท้ายผู้ประกอบการรากหญ้านั่นแหละที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงพวกผู้ประกอบการหนังสือพิมพ์ด้วย”
ถือครองที่ดินมาก…เฉียดคุกได้ทุกเมื่อ?

สิ่งที่ผู้คนโดยทั่วไปประหลาดใจมากและไม่รู้มาก่อนก็คือ กฎหมายนี้มีกำหนดโทษจำคุก! ในกรณีจ่ายช้าหรือไม่ยอมจ่ายภาษี ซึ่งนั่นคือ “ระเบิดเวลาลูกใหญ่” ที่จะทำให้ผู้คนได้รับความเดือดร้อนถ้วนหน้า ไม่เพียงจะถูกบังคับให้ต้องจ่ายภาษีใหม่อย่างไม่เป็นธรรม ผู้ที่ถือครองที่ดิน สิ่งปลูกสร้างอยู่ยังมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีอาญาเอาได้ทุกเมื่อ 

แปลให้ง่ายก็คือ การครอบครองที่ดินนับจากนี้ไม่ว่าจะมากหรือน้อยชีวิตต่างแขวนอยู่บนเส้นด้ายมีสิทธิ์ติดคุกเอาได้ทุกเมื่อ เพราะกฎหมายใหม่ให้อำนาจองค์กรปกครองท้องถิ่น(อปท.) เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายทั้งประเมิน เรียกเก็บภาษี โดยให้ถือเป็นรายได้ท้องถิ่นทั้งยังให้อำนาจ อปท. ยึด อายัดและขายทอดตลาดได้เองอีกด้วย

ที่สำคัญยังกำหนดระวางโทษทางอาญา กรณีไม่ปฏิบัติตามหนังสือเรียกของเจ้าพนักงาน ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีทั้งโทษจำ-ปรับ หรือกรณีเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยไม่แจ้งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ หรือการโอนย้ายทรัพย์สินให้บุคคลอื่นเมื่อผู้บริหารท้องถิ่นสั่งยึดอายัดเอาไว้ ซึ่งทั้งโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ  

ไล่ตามเงา “แลนด์ลอร์ด” 

กับข้ออ้างกระทรวงการคลังต่อการยกร่างภาษีที่ดินฯใหม่ เพื่อเป็นเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำ กระจายการถือครองที่ดิน สกัดนายทุน“แลนด์ลอร์ด”ทั้งหลายแหล่ และเพื่อให้มีการนำเอาที่ดินรกร้างว่างเปล่านับล้านไร่ มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาทมาสร้างประโยชน์เพิ่มมูลค่า (Value)ในทางเศรษฐกิจทำให้ต้องเร่งผลักดันกฎหมายนี้

แต่กระทรวงการคลังและรัฐบาล โดยเฉพาะ “ผู้ยกร่างกม.นี้”กลับไม่เคยย้อนไปดูบทเรียนความล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายภาษีมรดกที่คลัง-สนช.ทำคลอดมาก่อนหน้า เพราะกว่าขวบปีที่กระทรวงการคลังบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว หน่วยงานรัฐอย่างสรรพากรเองก็ออกมายอมรับเองว่าไม่สามารถจะไล่เบี้ยรีดภาษีมรดกได้ หรือได้น้อยมากไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้

ครั้งนี้เช่นกัน ช่วงที่กระทรวงคลังยกร่างกฎหมายฉบับนี้ และเปิดให้มีการจัดตั้งนิติบุคลรับโอนที่ดินเพื่อรอการพัฒนาได้โดยได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอน และยกเว้นภาษีเงินได้ 3-5 ปีนั้น ก็มีกระแสข่าวสะพัดกลุ่ม“เจ้าสัว”แลนด์ลอร์ดทั้งหลายแห่ตั้งบริษัทลูกกันเป็นดอกเห็ดนับ 100 บริษัท เพื่อรับมือกับกฎหมายใหม่ และเพื่อจัดพอร์ตที่ดินตั้งแต่เหนือสุดยันใต้สุด ก่อนที่คลังจะปิดโครงการดังกล่าวไป”

กลายเป็นว่ากฎหมายใหม่นี้ เข้าทางนายทุนแลนด์ลอร์ดที่เตรียมเก็บตุนของถูกที่จะถูกเลหลังออก จากการที่เจ้าของที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายต้องถูกบีบ(Force) ให้ต้องขายที่ดินออกมา เพราะไม่สามารถแบกรับภาระภาษีจากกฎหมายใหม่ได้

ร้องรัฐทบทวน -ชะลอบังคับใช้

ข้อเสนอแนะของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่ร้องขอต่อรัฐเพื่อขอให้ทบทวน และชะลอการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ออกไปก่อนนั้น ก็เพื่อให้รัฐได้พิจารณาผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนในวงกว้างให้รอบคอบ อย่างน้อยรัฐควรกำหนดนิยามการแบ่งประเภทการใช้ที่ดินให้ชัดเจน เพื่อขจัดการให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจหรือการตีความอันเป็นช่องโหว่ที่อาจก่อให้เกิดการทุจริตตามมา

นอกจากนี้ ควรกำหนดอัตราจัดเก็บภาษีให้เป็นอัตราเดียว(Fixed Rate)มีมาตรการรองรับกรณีที่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าจากสภาพที่จำเป็น ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ด้วยสภาพการณ์ของที่ดินเอง หรือที่ดินที่ถูกรอนสิทธิ์ ที่ดินตาบอดหรืออยู่ในเขตข้อกำหนดผังเมืองที่ควรต้องได้รับการลดหย่อน เพื่อสะดวกในการจัดเก็บภาษีและเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่

รวมทั้งควรตัดโทษทางอาญาออกไปเพราะเป็น “ดาบ 2 คม”ที่อาจทำให้เจ้าหน้าที่ใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์เอาได้ทุกเมื่อ

กับร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ที่กระทรวงการคลังจะใช้บังคับในปี 2562 นั้น กว่าที่กฎหมายดังกล่าวจะเห็นผลกระทบจริงก็ปาเข้าไปในช่วงปี 2563-2564 ไปแล้ว ถึงเวลานั้นทั้งรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาและนายกฯ จะยังมีอำนาจพิเศษใดอยู่ในมือที่จะสกัดก้ันและยับยั้งหายนะที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจได้หรือ?   

กลั่นกรองและพิจารณาทบทวนให้ถ้วนถี่ก่อนเศรษฐกิจไทยจะกู่ไม่กลับจะดีกว่าไหม!!!