ความคืบหน้าโครงการแลกเปลี่ยนรถบรรทุกสินค้าข้ามแดน 500 คันภายใต้กรอบกรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่โขง (GMS) 6 ประเทศหลังถูกจุดพลุเข้ากระทรวงคมนาคมถึงมือ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ”พิจารณาเมื่อปีที่แล้ว และส่งเรื่องกลับมายังกรมขนส่งฯแล้วประกาศให้พี่น้องสิงห์รถบรรทุกลงชื่อใช้กับโครงการสุดหรูนี้ และคาดว่าจะสามารถเปิดวิ่งได้ในช่วงต้นปี 2560
ล่าสุด ปิศาจขนส่ง ได้เจอหน้าท่านประมุข 10 ล้ออาเซียน “เฮียยู เจียรยืนยงพงศ์” ในฐานะประธานสหพันธ์การขนส่งทางบรรทุกแห่งอาเซียน( ATF) คีย์แมนสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ ก็เลยถือโอกาสเปิดประเด็นให้เฮียยูเผยถึงความคืบหน้า โดยอดีตประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยเผยว่าโครงการแลกเปลี่ยนรถบรรทุกสินค้าข้ามแดนภายใต้กรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่โขง (GMS) 6 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ ที่จะเกิดการแลกเปลี่ยนรถบรรทุกเกิดขึ้นประเทศละ 500 คัน สามารถวิ่งข้ามแดนระหว่างกัน เพื่อเชื่อมต่อการค้าขายนั้น ก็ต้องเลื่อนการดำเนินการออกไป
จากกรอบเวลาเดิมที่กำหนดไว้จะสามารถเริ่มต้นได้ในช่วงต้นปี 2560 แต่เพราะไม่สามารถปลดล็อคปัญหาและอุปสรรคที่รุมเร้ารอบทิศทางได้ ไม่ได้จะเป็น ข้อกฎหมายในแต่ละประเทศ รายละเอียดของเส้นทางการเดินรถ รวมถึงมาตรฐานของประเทศต่างๆ ทั้งผู้ขับรถ และรูปแบบรถที่มีบริบทแตกต่างกันอย่าวสิ้นเชิง จึงเป็นชนวนเหตุให้โครงการดังกล่าวสะดุด
ถึงกระนั้น ทาง ATF ก็ยังไม่ละความพยายามพร้อมรุกเดินหน้าปรึกษาหารือกับภาคเอกชนในแต่ละประเทศ พร้อมทั้งเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาไปก่อน นั่นก็คือการให้ใช้หัวลากเดิมของประเทศนั้นๆไปก่อน โดยจะแลกเพียงแค่หางเท่านั้น เพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสทางด้านการขนส่งที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีและก่อให้เกิดความคล่องตัวในการขนส่งสินค้าข้ามแดน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาการเปลี่ยนถ่ายสินค้าที่ด่านฯ หรือแม้กระทั่งพิธีศุลกากรที่ยังประสบปัญหา “ล่าช้า” หากโครงการนี้ผ่านฉลุยด้วยย่อมส่งผลดีต่อการค้าชายแดนสุดลิ่มทิ่มประตู
ปิศาจขนส่ง ลองสแกนถึงความเป็นไปได้ของโครงการนี้ ก็พออนุมานได้ว่า“โคตรยาก”เลยพระเดชพระคุณท่าน อย่าลืมว่าแม้ประตูเออีซีจะเปิดอ้าซ่าพลางโบกมือหย่อยๆให้การค้าการลงทุนไร้รอยต่อไร้พรมแดน แต่ทุกประเทศย่อมทำตัว “จงอางหวงไข่”อยู่ดี คงไม่ปล่อยใครต่อใครมาฉกเอาไปกินได้ง่ายๆแน่ การที่จะปล่อยให้รถบรรทุกสินค้าผ่านประเทศตัวเอง “เปล่าๆปลี้”โดยที่เจ้าของประเทศเจ้าของถนนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มิหนำซ้ำยังถือว่าเป็นการเข้าไปแย่งงานขนส่งในประเทศนั้นๆอีกด้วย
แม้ประเทศไทยเองก็ย่อมรู้แก่ใจดี เฉพาะผู้ประกอบการขนส่งรถบรรทุกสินค้าในไทยก็จะ “อดตาย”กันอยู่แล้ว รายใหญ่ๆก็พอวัดพอเหวี่ยงมีงานวิ่งประคองตัวเองได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ไอ้รายย่อยนี่สิลำบาก รถที่มีก็จอดเรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยให้เปลวแดดเลียเล่นไปวันๆ หรือที่มีวิ่งอยู่ก็เป็นแค่งานซับที่ยักษ์ใหญ่ขนส่งต่างชาติเขาเจียดงานมาให้เท่านั้น ไอ้การที่จะไปสู้รบปรบมือกับทุนหนาต่างชาติก็เลิกคิดไปเหอะ
เพราะมวยมันห่างชั้นกันเยอะ ผู้ขนส่งไทยมีแค่ “ถึก”อย่างเดียว ส่วนเรื่องของลีลาชั้นเชิง เทคนิค เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์การกีฬา เหมารวมไปถึงเชิงมวยนอกตำรา ยักษ์ใหญ่ข้ามชาติชิงความเปรียบ และคาบเอาไปรับประเทศซะเกลี้ยงแผงล็อตเตอรี่
สิงห์รถบรรทุกเมืองไทยจำเป็นต้องยกเครื่องกันขนาดใหญ่ และที่สำคัญจะถูกยักษ์ใหญ่ข้ามชาติกลืนกินทั้งประเทศ อีกอย่างภาครัฐต้องสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการขนส่งไทยให้มากกว่านี้ มิเช่นนั้นจะ “ตายยังเขียด”กันหมดเล้า
ดูไปดูมาแล้วตามเนื้อผ้าแล้ว ปมแลกรถ 500 คันนี้ที่กรมฯป่าวประกาศก้องปฐพีให้ผู้ประกอบการขนส่งไทยลงชื่อลงเสียงพลางให้ความหวังกันยกใหญ่กับประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับความร่วมมือครั้งนี้ แต่ที่ไหนได้จนแล้วจนรอดก็ไร้ซึ่งความชัดเจนใดๆ สิงห์รถบรรทุกที่ลงชื่อไปก็ได้หาวเรอรอไปพร้อมตั้งคำถามเป็นภาษามอนตราเนโกรสำเนียงอิสานบ้านเฮาว่า “เป็นหยังน้อ คือมิดซีลีจังซี่” แปลเป็นไทยด้วยสำนวนและความหมายสุดจะสวยหรูและไพเราะว่า “เงียบเป็นเป่าสาก”
ก็จะไม่เงียบได้ไงล่ะเมื่อเรื่องนี้อยู่ในมือของ “พี่หนิด-สนิท พรหมวงษ์”ท่านอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เรียบร้อยแล้ว หากประมุข 10 ล้ออาเซียน “ยู” อยากเข้าไปสอบถามความคืบหน้า แนะนำให้เหมารถตู้ไปถามที่กรมฯได้เลย
….หรือไม่จริงครับ “พี่หนิด” ของกระผม?!