ความคืบหน้ากรณีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจร ห้ามนั่งกระบะ-แค็ป นั้น ล่าสุด (15 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายการงานว่า “สุรชัย ภู่ประเสริฐ”รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงรมว.มหาดไทย ,คมนาคม และผู้บัญชาการสตช. กรณีดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคสช.เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน
โดยระบุว่า ตามที่มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 14/2560 เรื่องมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจร และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 15/2560 เรื่องมาตรการเพิ่มความปลอดภัยในรถโดยสารสาธารณะมาตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2560 เพื่อหวังผลป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา นั้น
ทั้งนี้ จากกรณีดังกล่าวยังมีประเด็นที่สังคมบางส่วนยังไม่มีความรับรู้ความเข้าใจและยังเรียกร้องให้รัฐปรับเปลี่ยนแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย โดยอ้างว่ามาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชน รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) จึงได้จัดประชุมหารือเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน โดยมีผู้แทนกรมการขนส่งทางบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพสามิต และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จากการหารือทุกส่วนราชการ มีความเห็นร่วมกัน ดังนี้
1.การกำหนดมาตรการใดๆ ในเรื่องนี้ต้องคำนึงถึงหลักความปลอดภัยตามกฎหมายและหลักความสะดวกของผู้โดยสารตามวิถีชีวิตที่เป็นจริงประกอบกัน จะใช้แต่หลักใดหลักหนึ่งไม่ได้
2.กฎหมายเกี่ยวกับจำนวนที่นั่งและเข็มขัดนิรภัยมีมาตั้งแต่พ.ศ. 2522 เพียงแต่หย่อนการปฏิบัติ คำสั่งหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทั้ง2ฉบับ ไม่ใช่ของใหม่และไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาต่อประชาชน ทั้งกลับทำให้การเกิดอุบัติเหตุลดน้อยลง หากจะมีปัญหาอยู่บ้างก็เป็นเพียงการบังคับใช้ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติที่เข้มงวดเกินสมควร ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีทางบริหารที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำความเข้าใจร่วมกันแล้วปัญหาต่างๆน่าจะได้รับการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วขึ้น
3.การกำหนดเป็นทางการให้ Cab หรือท้ายกระบะเป็นที่นั่งและต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยจะทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ทั้งในเรื่องอัตราภาษีและวิถีการดำเนินชีวิต จึงเห็นควรให้ผ่อนผันต่อไป โดยถือว่าการนั่งในบริเวณดังกล่าวเป็นที่นั่งชั่วคราว และให้สามารถนั่งในท้ายกระบะได้ไม่เกิน 6 คน หากพบเห็นผู้ฝ่าฝืนในครั้งแรก ให้ใช้วิธีการว่ากล่าวตักเตือนตามอำนาจของกฎหมายก่อนเพื่อสร้างความรับรู้ให้กับประชาชน และหากเกินเลยไปจนเห็นเจตนาฝ่าฝืนโดยไม่มีเหตุผลหรือยังกระทำความผิดซ้ำอีก จึงค่อยดำเนินการตามกฎหมาย
4.อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถจักรยานยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นนั้น อาจต้องให้ความสำคัญกับการสวมหมวกนิรภัยเวลาขับขี่ ความพร้อมของยานพาหนะและผู้ขับขี่ ตลอดจนการหามาตรการให้รถจักรยานยนต์มาต่อทะเบียนและเสียภาษีประจำปี ซึ่งกรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรับไปพิจารณาดำเนินการ
5.ในหลายประเทศมีการมอบหมายบุคลากรคนหนึ่งทั้งในหน่วยงานรัฐและเอกชนให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางถนน (Mr. Safety หรือ Road Safety Manager)มีหน้าที่ไปรับการอบรมแล้วมาแนะนำถ่ายทอดความรู้ต่อ เก็บสถิติและประสานกับทางการ ตักเตือนเจ้าหน้าที่ยานยนต์ตามที่มีผู้แจ้งเหตุมา จึงควรรณรงค์ในเรื่องนี้ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกรมการขนส่งทางบก รับไปดำเนินการในส่วนของหน่วยงานรัฐ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปรณรงค์ในส่วนของบริษัทเอกชนให้มีการมอบหมายแต่งตั้งบุคลากรทำหน้าที่ดังกล่าวช่วยเหลือเจ้าหน้าที่
6.ยังมีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการต่อทะเบียนรถในกรณีไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่ง ซึ่งกรมการขนส่งทางบกรายงานว่า เดิมทีการต่อทะเบียนรถทำได้ง่าย ณ ที่ใดก็ได้ทั่วประเทศ แต่ต่อไปนี้เมื่อต้องนำไปพิจารณาควบคู่กับการไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่ง ประชาชนจะไม่สามารถรับบริการได้ทั่วไปเพราะต้องใช้เวลาดำเนินการติดตั้งระบบออนไลน์อีกระยะ ทางตำรวจเองก็ยังไม่พร้อมรับส่งข้อมูลโดยทันที ดังนั้นถ้าเริ่มบังคับใช้เรื่องนี้ทันที จะเกิดการร้องเรียนขึ้นอีก จึงตกลงร่วมกันว่าในระยะแรกตำรวจจะรับภาระทำตามเดิมไปก่อน ต่อเมื่อวางระบบเรียบร้อยแล้ว จึงจะเริ่มใช้มาตรการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเพื่อลดความเดือดร้อนของประชาชน
ทั้งนี้ เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการขนส่งทางบก และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกันออกประกาศกำหนด รวมทั้งปรามการที่เจ้าหน้าที่เลือกใช้ดุลยพินิจรีดไถก่อความเดือดร้อนแก่ประชาชนต่อไป และรองนายกรัฐมนตรี(นายวิษณุ เครืองาม)ได้เสนอผลการหารือร่วมกันต่อนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วอนุมัติตามที่เสนอ โดย1.ให้สร้างความรับรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเด็นข้อกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย 2.ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง อย่าให้เกิดผลกระทบกับการปฏิรูปของรัฐบาล และ3.ให้ทำงานแบบบูรณาการอย่างต่อเนื่อง