กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศหวังขับเคลื่อนโลจิสติกส์สู่ไทยแลนด์ 4.0เปิดโครงการ “เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์”
นางวรรณภรณ์ เกตุทัต รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์”ประจำปี 2560 ในวันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน 2560 ณ
โรงแรมเบสท์เวสเทิร์นพลัสแวนด้าแกรนด์ แจ้งวัฒนะซึ่งจัดขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านโลจิสติกส์ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจบริการและผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ของไทยที่ผ่านการคัดเลือกทั้งสิ้นจำนวน 20 บริษัท พร้อมทั้งจัดการบรรยายหัวข้อ “Lean Logistics ในธุรกิจบริการและโลจิสติกส์” โดย ผศ.ดร.วรินทร์ วงษ์มณี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ“การพัฒนาด้านโลจิสติกส์และบริการสู่ไทยแลนด์ 4.0” โดย รศ. (พิเศษ)
ดร.จักรกฤษณ์ ดวงพัสตรา ผู้อำนวยการสถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งเชิญผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมโครงการในรุ่นที่ผ่านมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการในปีนี้อีกด้วย
ในโอกาสนี้ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่าการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ
เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับภาคการผลิตและภาคบริการของไทย อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากยังขาดความรู้ความเข้าใจถึงกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กรผ่านการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ ดังนั้น กรมซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยในภาคธุรกิจบริการให้สามารถขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกและแข่งขันได้ในระดับสากลจึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นมา โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ภาคธุรกิจโลจิสติกส์ซึ่งเป็นกลุ่มบริการสนับสนุนที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคการผลิตและสร้างรายได้ด้วยตัวเองรวมถึงธุรกิจบริการอื่นๆ อาทิ ธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจแฟรนไชส์ ธุรกิจโรงแรม
“โครงการดังกล่าว ยังสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ยุทธศาสตร์ที่ 7การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ และแผนยุทธศาสตร์กระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2559-2564 ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยกระดับเศรษฐกิจการค้าของประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าและภาคบริการและเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่จะพัฒนาภาคตะวันออกให้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์เชื่อมโยงโครงข่ายทั้งด้านการค้าการลงทุน การคมนาคม และการท่องเที่ยว เป็นประตูสู่อาเซียน จีน และอินเดียซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจบริการอื่นๆ อีกหลายสาขา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจึงให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจเป้าหมายซึ่งอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC เป็นพิเศษผลการดำเนินโครงการนี้ ตั้งแต่ปี 2552 รวม 8 รุ่นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเฉลี่ยรวมร้อยละ 27.34และลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์คิดเป็นมูลค่ารวม 1,480 ล้านบาทให้แก่ผู้ประกอบการจำนวน 207 บริษัท ส่วนโครงการในปีนี้รุ่นที่ 9จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงเดือนสิงหาคม 2560″