รฟท.ลุยหารายได้ดึงเอกชนขนส่งสินค้าทางราง ก้าวสู่ฮับโลจิสติกส์อาเซียน

0
64

การรถไฟฯจับมือภาคเอกชน เปิดทดลองเดินขบวนรถพิเศษขนส่ง “เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน” 46 ตัน จากสถานีนาผักขวง ประจวบคีรีขันธ์ ไปยังที่หยุดรถศรีสำราญ สุพรรณบุรี 356 กม.ใช้เวลา 10-12 ชม. แนวโน้มจะเริ่มขนส่งเชิงพาณิชย์ปีหน้า เดินหน้าดึงเอกชนขนส่งสินค้า เปลี่ยนโหมดจากถนนสู่ราง ช่วยประหยัดต้นทุน เร่งงานทางคู่ จัดหาโบกี้บรรทุกตู้สินค้า รองรับการเติบโตขนส่งสินค้าทางรางในอนาคต

(15 พฤษภาคม 2566) เวลา 08.30 น. ณ สถานีนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายเสถียร เจริญเหรียญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายนาวา จันทนสุรคน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นประธาน และตัดริบบิ้นในพิธีเปิดเดินขบวนรถพิเศษสินค้าทดลองขนส่งผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน(HRC) ของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ในเส้นทางระหว่างสถานีนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปยังที่หยุดรถศรีสำราญ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยจะพ่วงรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าคอนเทนเนอร์(บทต.) พิกัดบรรทุก 46 ตัน จำนวน 3 คัน

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การเปิดเดินขบวนรถพิเศษสินค้าทดลองขนส่งดังกล่าว เป็นความร่วมมือของการรถไฟฯ และบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟฯ ที่มุ่งเน้นสนับสนุนส่งเสริมการขนส่งสินค้าภายในประเทศ และการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่การรถไฟฯ รวมทั้งช่วยยกระดับโลจิสติกส์ของประเทศ ให้สามารถแข่งขันทัดเทียมกับนานาประเทศ

การขนส่งสินค้าทางราง ถือเป็นระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ ประหยัดพลังงาน และมีความคุ้มค่า สามารถขนส่งได้ครั้งละจำนวนมากกว่าทางถนนหลายเท่าตัว โดยที่ผ่านมาการรถไฟฯ ได้สนับสนุนกลุ่มบริษัทพันธมิตรทางการค้า ทดลองเปิดเดินขบวนรถขนส่งสินค้าทางรถไฟ ไปยังศูนย์กระจายสินค้าผ่านเส้นทางรถไฟในหลายเส้นทาง และขณะนี้ยังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง อาทิ สินค้าเกลือ ทุเรียน ยางพารา และ ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด เป็นต้น ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนถ่ายการขนส่งสินค้าจากถนนมาสู่ระบบราง

อย่างไรก็ตามปัจจุบันการรถไฟฯ มีนโยบายส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาระบบรางให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อขนส่งสินค้าในแนวเส้นทางยุทธศาสตร์ให้สามารถเชื่อมโยงกับฐานผลิตภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรรมของประเทศ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้การรถไฟฯ ยังอยู่ระหว่างการเตรียมจัดหาโบกี้รถบรรทุกตู้สินค้า 946 คัน วงเงินประมาณ 2,400 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของการขนส่งสินค้าทางรางที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตด  การรถไฟฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการขนส่งทางรางได้มากขึ้นในอนาคต เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ การก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใต้ และการก่อสร้างย่านกองเก็บตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ (CY) ที่ดำเนินการใกล้แล้วเสร็จเป็นรูปธรรม ตลอดจนทางคู่สายอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างเร่งรัดการก่อสร้าง การประหยัดพลังงาน และลดปัญหามลพิษทางอากาศ สิ่งเหล่านี้จะทำให้บริษัทเอกชนต่างๆ มีความเชื่อมั่นต่อการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มมากขึ้น

สำหรับการเดินขบวนรถพิเศษสินค้าทดลอง ขนส่งผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน ของบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ต้นทางการขนส่งเริ่มจากสถานีนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปยังที่หยุดรถศรีสำราญ จังหวัดสุพรรณบุรี ระยะทาง 356 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาการเดินรถเฉลี่ย 10-12 ชั่วโมง ทั้งนี้สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่ขนส่ง มีน้ำหนักแต่ละม้วนอยู่ระหว่าง 6-23 ตัน/ม้วน เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2,050 มิลลิเมตร โดยการทดลองขนส่งบนรถ บทต. มี 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.ขนส่ง HRC ม้วนใหญ่ จำนวน 1 ม้วน 2.ขนส่ง HRC ม้วนใหญ่ จำนวน 2 ม้วน และ 3.ขนส่ง HRC ม้วนใหญ่ จำนวน 1 ม้วน และม้วนเล็ก จำนวน 2 ม้วน ซึ่งแต่ละรูปแบบน้ำหนักบรรทุกรวมไม่เกิน 46 ตัน

ทั้งนี้ การทดลองขนส่งผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่เริ่มขบวนรถทดลองในวันนี้ จากนั้นบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) จะดำเนินการจัดทำรายงานสรุปผลการทดสอบ จัดทำแผนการขนส่ง และรวบรวมสรุปผลการดำเนินงานในช่วงปีถัดไป โดยเบื้องต้นบริษัทฯ มีแผนเริ่มขนส่งในเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

นายเอกรัช กล่าวทิ้งท้ายว่า การรถไฟฯ มีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการนำระบบขนส่งทางราง มาสนับสนุนขนส่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประชาชนในพื้นที่จะได้ประโยชน์โดยตรง สามารถนำสินค้าในท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ชุมชนขนส่งกับทางรถไฟเพื่อเชื่อมโยงแหล่งผลิตไปยังจุดหมายปลายต่างๆ ช่วยอำนวยความสะดวกด้านปริมาณการขนส่ง ลดมลพิษ ลดระยะเวลาการเดินทาง ช่วยประหยัดต้นทุนการขนส่งให้ภาคประชาชน และเอกชน เพิ่มขีดความสามารถระบบขนส่งโลจิสติสก์ของประเทศ ให้สามารถแข่งขันทัดเทียมกับนานาประเทศ และก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียนต่อไป ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการขนส่งสินค้า ภาคเกษตร หรือภาคอุตสาหกรรม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง