กรมทางหลวงชนบทเค้าจัดให้! ไม่นานเกินรอ ต้นปี 66 ได้เหยียบคันเร่งไม่เกิน 120 กม.ต่อชม. ระยะทางรวม 37.6 กม. อีก 2 เส้นทาง”ถนนราชพฤกษ์-ถนนนครอินทร์”
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท(ทช.) เปิดเผยว่า จากที่กระทรวงคมนาคมได้ประกาศกฎกระทรวงกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะบนทางหลวงแผ่นดิน หรือ ทางหลวงชนบทที่กำหนด พ.ศ. 2546 โดยกำหนดบังคับแก่ทางหลวงแผ่นดินหรือทางหลวงชนบทที่มีทางเดินรถ ซึ่งได้แบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องจราจรขึ้นไป มีเกาะกลางถนนแบบกำแพง และไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน ตามที่ผู้อำนวยการทางหลวงประกาศ โดยกำหนดให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น ในส่วนของถนนที่อยู่ในความดูแลของ ทช. นั้น ในต้นปี 66 นี้ ทาง ทช.ได้พิจารณาให้ถนน 2 สายทาง คือ ถนนราชพฤกษ์ และ ถนนนครอินทร์ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่รองรับการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพมหานครกับภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย ให้ประชาชนที่สัญจร2เส้นทางดังกล่าวสามารถขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้
ทั้งนี้ ถนนของทางหลวงชนบททั้ง 2 สายทาง ดังกล่าวได้แก่ ถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.3021 (ถนนราชพฤกษ์) ระหว่าง กม.ที่ 17+000 ถึง กม.ที่ 42+200 ระยะทาง 25.2 กิโลเมตร และถนนทางหลวงชนบทสาย นบ.1020 (ถนนนครอินทร์) ระหว่าง กม.ที่ 0+000 ถึง กม.ที่ 12+400 ระยะทาง 12.4 กิโลเมตร รวมระยะทางดำเนินการ 37.6 กิโลเมตร โดยขณะนี้ ทช.ได้มีการติดตั้งเครื่องหมายจราจรบนผิวทาง งานป้ายจราจร, งานป้ายจราจรแขวนสูง, งานติดตั้งระบบขนส่งอัจฉริยะ, ระบบควบคุมการใช้ช่องจราจรบนทางหลวง, ระบบควบคุมการใช้ความเร็วจำกัดแต่ละช่องจราจร, ระบบแนะนำการใช้ความเร็วแบบปรับเปลี่ยนได้ และระบบสำรวจข้อมูลสภาพอากาศ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 65 นี้
ส่วนงานก่อสร้างติดตั้งกำแพงคอนกรีตแบบ Single Slope Barrier บนทางหลวงชนบท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 66 ดังนั้น ทั้ง 2 เส้นทางจะเปิดให้รถสัญจรขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในต้นปี 66
นายอภิรัฐ กล่าวต่อว่า เมื่อทั้ง 2 โครงการดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยในการปรับพฤติกรรมการขับขี่และสื่อสารให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามที่กฎกระทรวงกำหนดความเร็วฯ พ.ศ. 2546 กำหนดไว้ ซึ่งนอกจากจะกำหนดให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่องจราจรขวาสุดยังกำหนดให้ใช้ความเร็ว ไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้การติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยนั้น ยังช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุในลักษณะยานพาหนะเสียหลักข้ามช่องจราจรได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับโครงการดังกล่าวเป็นการบูรณาการร่วมกันภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) เป็นกองทุนสร้างเสริมความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืนที่มีภารกิจในการเสริมสร้างมาตรฐานระบบการขนส่งทางถนนอย่างปลอดภัย เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานทั้งหมด