ผู้เชี่ยวชาญโครงการรถไฟฟ้าแฉเบื้องหลัง คค. – รฟม. ต้องถอยกรูดประมูลรถไฟฟ้า สายสีม่วงใต้ ตามรอยรถไฟฟ้า สายสีส้ม สะท้อนความล้มเหลวและนโยบายขว้างงูไม่พ้นคอขนานแท้ เหตุดั้นเมฆจะนำเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกสุดพิสดารมาใช้ ตอบคำถามสังคมไม่ได้ ขณะรถไฟฟ้า สายสีเขียวยังลูกผีลูกคน เผยยอดหนี้คงค้าง กทม. ล่าสุดทะลักมากว่า 40,000 ล้าน
จากการที่ฝ่ายบริหาร การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ประกาศล้มประมูลการประกวดราคาก่อสร้างรถไฟฟ้า สายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) วงเงินกว่า 78,720 ล้านบาท ไปล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยอ้างว่า เกิดความคลาดเคลื่อนในการส่งเอกสารประกวดราคาให้ผู้สังเกตการณ์ ตามข้อตกลงคุณธรรมที่ลงนามกันไว้เมื่อปี 2561 จึงต้องยกเลิกเพื่อดำเนินการให้ครบถ้วน พร้อมยืนยันว่าจะสามารถเร่งดำเนินการคลอด TOR ภายในเดือน ก.ย.นี้ และจัดประมูลหาผู้รับเหมาได้ ภายในไตรมาสแรกปีของ 65 อย่างแน่นอน
แหล่งข่าวในวงการรับเหมา และอดีตผู้บริหารโครงการรถไฟฟ้า เปิดเผยว่า เบื้องหลังการล้มประมูลรถไฟฟ้า สายสีม่วงใต้นั้น ทุกฝ่ายต่างรู้เต็มอกเป็นไป เพื่อไม่ให้พลพรรคฝ่ายค้านหยิบยกกรณีประมูลอื้อฉาวนี้ ไปอภิปราย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายค้านจ้องซักฟอก ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรายบุคคล เพราะลำพังแค่โครงการรถไฟทางคู่ 2 สายทาง มูลค่ากว่า 1.28 ล้านบาท ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม เปิดประมูลกันไปก่อนหน้า ก็ทำเอา รมต.คมนาคม ปาดเหงื่อหายใจไม่ทั่วท้องพออยู่แล้ว ไม่รู้จะปัดข้อครหาจัดฮั้วประมูลไปให้พ้นตัวไปได้อย่างไร และไม่รู้จะต้องเสียกล้วยเลี้ยงลิงในสภาฯ ไปอีกเท่าไหร่ เนื่องจากประมูลโครงการร่วม 1.28 แสนล้าน แต่ผู้รับเหมาที่เข้าร่วมประมูล 5 ราย 5-6 สัญญา ต่างพร้อมใจกันเสนอต่ำกว่าราคากลางชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดแค่ 30-40 ล้าน หรือ 0.08% เท่านั้น
กับข้ออ้างของ รฟม.ที่ยังคงยืนยันจะสามารถเปิดประมูลโครงการนี้ภายในปลายปีนี้ และได้ผู้รับเหมาต้นปี 65 นั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า ก็ไม่รู้นายกฯ และฝ่ายการเมืองจะคิดอย่างไรกับเหตุผลสุดคลาสสิคของ รฟม. เพราะครั้งก่อนที่ไปยกเลิกประมูลรถไฟฟ้า สายสีส้ม รฟม. ก็เคยยืนยันว่า จะสามารถเร่งรัดจัดประกวดราคาใหม่ภายในเดือนนั้นเดือนนี้ สุดท้ายผ่านมากว่า 6-7 เดือนเข้าไปแล้ว รภไฟฟ้าสายสีส้ม ก็ยังไม่ขยับไปไหน
ส่วนกรณีที่ รฟม. ยังคงยืนยัน จะนำเอาเกณฑ์ประมูลคัดเลือกผู้รับเหมาโดยพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิค และข้อเสนอราคาประกอบกัน (เทคนิค 30% + ราคา 70%) นั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า ความล้มเหลวของการประมูลรถไฟฟ้า สายสีส้ม และม่วงใต้ที่ผ่านมา น่าจะเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า หากยังคงดึงดันที่จะจัดประมูลด้วยเกณฑ์ดังกล่าวจะลงเอยอย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมระบบขนส่ง คือ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค ปชป. และอดีตรองผู้ว่าการฯ กทม. ได้นำข้อมูลออกมาโต้แย้ง จน รฟม.ไปไม่เป็นมาแล้ว จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดฝ่ายบริหาร รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกยังคงจะดั้นเมฆเปิดประมูลภายใต้หลักเกณฑ์อื้อฉาวต่อไปอีก
ทั้งนี้ การใช้เกณฑ์เทคนิค+ราคาดังกล่าว ทำให้ รฟม. ซึ่งก็คือ รัฐบาล ต้องใช้งบประมาณลงทุนสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก และรถไฟฟ้าสายสีม่วง มากกว่าการใช้เกณฑ์ราคา 100% อย่างน้อยที่สุด โครงการละหลายพันล้านไปจนถึงหลักหมื่นล้านบาท เงินก้อนใหญ่นี้คือส่วนเกินที่ผู้ชนะการประมูลไม่ควรจะได้ เพราะไม่ใช่ต้นทุน แต่เป็นส่วนเกินที่เกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยนทีโออาร์ ไปใช้เกณฑ์เทคนิคผสมเกณฑ์ราคา
“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ งัดข้อมูลได้มาทักท้วงว่าเกณฑ์ผสมข้างต้น รังแต่จะทำให้ รฟม.ต้องเสียงบประมาณมากขึ้นกว่าการใช้เกณฑ์ราคา 100% เพราะผู้ที่เสนอราคาค่าก่อสร้างต่ำสุด ในกรณีรถไฟฟ้าสายสีม่วงไม่จำเป็นต้องชนะการประมูล หาก รฟม.อ้างว่า ผู้เสนอราคาสูงกว่า มีประสบการณ์การก่อสร้างที่น่าเชื่อถือไว้ใจกว่า”
แหล่งข่าวกล่าวว่า แม้ 2 โครงการรถไฟฟ้าข้างต้น จะถูกเคลียร์คัตลงไปแล้ว แต่ยังมีโครงการรถไฟฟ้าอีกสายทาง ที่ยังคงคั่งค้างคารารอนายกฯ และรัฐบาลชี้ขาดอยู่ ก็คือ รถไฟฟ้า สายสีเขียว (คูคต-สมุทรปราการ) ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเชื่อมโยงการเดินทางข้าม 3 จังหวัดจากปทุมธานี-กทม. ไปสิ้นสุดที่ จ.สมุทรปราการ ระยะทางรวมกว่า 68.5 กม. ซึ่งก่อนหน้านี้ กทม. และ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ บีทีเอส (BTS) ได้มีการเจรจาจัดทำข้อตกลงเพื่อยุติปัญหาหนี้ค้าง และค่าข้างเดินรถรวมกว่า 100,000 ล้านบาท โดยจัดทำข้อเสนอใหม่ให้บริษัทเอกชนรับสัมปทานโครงการไปบริหารจัดการ 30 ปี เพื่อแลกกับแบกภาระมูลหนี้ค้างต่างๆ แทน กทม. รวมทั้งตรึงราคาค่าโดยสารเอาไว้ไม่ให้เกิน 65 บาทตลอดสาย ทั้งยังต้องจ่ายค่าต๋งให้แก่ กทม. อีก 2 แสนล้าน
แม้ข้อสรุปการต่อขยายสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียวให้กับบีทีเอสข้างต้น จะเป็นการดำเนินการตามคำสั่งของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ใครต่อใครต่างก็ชื่นชมกันนักหนาว่า เป็นนายกฯ ที่กล้าตัดสินใจ แต่เอาเข้าจริง! แค่จะตัดสินใจจะเอายังไงกับผลเจรจาที่ได้ข้อยุตินี้ จะต่อขยายสัญญาสัมปทานให้กับ BTS เพื่อเคลียร์คัตหนี้ค้างทั้งหมดที่มี หรือ “ล้มกระดาน-ล้างไพ่ใหม่” กันดี แต่นายกฯ ก็กลับไม่มีการตัดสินใจใดๆ ลงมา ได้แต่ซื้อเวลาไปวันๆ โดยไม่มีกำหนด จนล่าสุดมีข่าวว่า ทางฝ่ายบริหารบีทีเอสได้ยื่นฟ้อง กทม. และบริษัทกรุงเทพธนาคม (KT) วิสาหกิจของ กทม. ไปแล้ว เพื่อทวงหนี้ค้างที่ทะลักขึ้นมากว่า 40,000 ล้านบาท
“การที่นายกฯ และรัฐบาลเอาแต่ซื้อเวลา ไม่ตัดสินใจใดๆ ลงไป ด้วยอาจจะมองว่ายังเป็นเรื่องไกลตัว เอาโควิดกับเสถียรภาพรัฐบาลให้อยู่ก่อน หรือยังไงซะ กทม.กับบริษัทเอกชนคู่สัญญาก็ต้องรับกรรมกันไป แต่อย่าลืมว่า โครงการดังกล่าวเป็นสัมปทานร่วมลงทุน (PPP) ระหว่างรัฐ-เอกชน ที่ต้องร่วมมือกัน แต่เมื่อรัฐเอาแต่ลอยแพไม่ยอมแก้ไขปัญหา หากท้ายที่สุด เอกชนผู้รับสัมปทานบอกเลิกศาลา ไม่สามารถจะให้บริการเดินรถไฟฟ้าได้แล้ว เพราะไม่สามารถจะแบกรับภาระหนี้ท่วมบักโกรกที่สุมหัวอยู่ได้ แบบเดียวกับที่ แอร์เอเชีย และการบินไทยเผชิญอยู่ รัฐบาลเองก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่พ้นเช่นกัน”