ลุ้นศาลปกครองเพิกถอนมติ กขค. ควบรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งยักษ์

0
112

ลุ้นศาลปกครองเพิกถอนมติ กขค. ควบรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งยักษ์ ชี้ซ้ำเติมวิกฤติไวรัสโควิดปล่อยธุรกิจรายย่อยตายแต่ยักษ์ใหญ่สยายปีก

กรณีมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ 36 องค์กรผู้บริโภคส่งคําชี้แจงขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวกรณีกขค. อนุญาตควบรวมค้าปลีก-ค้าส่งธุรกิจ “ซีพี – เทสโก้โลตัส” แจงหากปล่อยให้รวมกิจการต่อไปจะเพิ่มอำนาจครอบงำธุรกิจมหาศาล – ปิดทางเลือกผู้บริโภค – ทำลายกิจการรายย่อย – เพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมจนเกินจะเยียวยา โดยเฉพาะในภาวะวิกฤติโควิด – 19 ที่กิจการขนาดเล็กจำนวนมากต้องทยอยปิดตัวลง

จากการที่ศาลปกครองรับคําฟ้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและ 36 องค์กรผู้บริโภค กรณีคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มีมติอนุมัติให้บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวล ลอปเม้นท์ จํากัดควบรวมกิจการกับ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส จํากัด ซึ่งอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลมีคำสั่งให้พิจารณาเร่งด่วนและให้องค์กรผู้บริโภคส่งคําชี้แจง รวมถึงส่งเอกสารประกอบถึงเหตุผลที่ว่า หากไม่มีคำสั่งให้ชะลอหรือระงับตามคำสั่งทางปกครองไว้ชั่วคราวจะเกิดความเสียหายอย่างไรบ้างนั้น  ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และองค์กรผู้บริโภคในฐานะผู้ฟ้องคดี ได้ส่งคําชี้แจงที่ระบุถึงเหตุผลที่ขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว โดยระบุว่าหากศาลไม่คุ้มครองชั่วคราวจะทำให้เกิดการผูกขาดจนยากต่อการแก้ไขเยียวยาภายหลัง

ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อมีการรวมธุรกิจของทั้งสองบริษัทสะท้อนให้เห็นว่า หลังรวมธุรกิจจะทำให้สามารถครอบงำตลาดค้าปลีกได้ทุกประเภท นอกจากนี้ เมื่อรวมกับธุรกิจค้าส่งสมัยใหม่จะส่งผลให้ทั้งสองบริษัทมีอำนาจผูกขาดตลาดตั้งแต่ต้นน้ำถึง ปลายน้ำซึ่งเป็นการผูกขาดตลาดในแนวดิ่ง  แม้ว่าบริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด จะประกอบกิจการในตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ แต่ก็ยังเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางนโยบายกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ เสมือนหนึ่งเป็นหน่วยธุรกิจเดียวกัน ซึ่งในเครือธุรกิจดังกล่าวนั้นประกอบธุรกิจในตลาดค้าส่งสมัยใหม่ ได้แก่ บริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) กิจการที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้าบริโภค กิจการด้านกลุ่มการเกษตรและ ปศุสัตว์ และธุรกิจการขนส่งสินค้า สุดท้ายหากปล่อยให้มีการกระจุกตัวเพิ่มมากขึ้นทั้งการรวมธุรกิจ การขยายสาขา การมีอำนาจเหนือตลาด จะทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยต้องถูกกีดกันออกจากตลาดการแข่งขันทำให้ไม่เกิดการแข่งขันในตลาดค้าปลีก และไม่เกิดนวัตกรรมใหม่ขึ้นในตลาด

นอกจากนี้ การรวมธุรกิจของทั้งสองบริษัทจะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกขนาดเล็กน้อยลง เนื่องจากการรวมธุรกิจครั้งนี้ทำให้ทั้งสองบริษัทมีอำนาจเหนือตลาดมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมีอำนาจเหนือตลาดก็ยังส่งผลให้มีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้า รวมถึงชนิด และปริมาณของสินค้าที่จําหน่ายได้ จากรายงานการวิจัยของศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ที่ระบุว่า ปัจจุบันประเทศกําลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ประกอบกับปัญหาข้อจํากัดด้านเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่สามารถแข่งขันกับธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ได้ รวมถึงปัญหาสภาพคล่องซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่มีอยู่มากที่สุดจำนวน 8.95 แสนราย จากผู้ประกอบการค้าปลีกทั้งหมด 9.05 แสนราย หากคำสั่งรวมธุรกิจของทั้งสองบริษัทยังดำเนินการต่อไปจะทำให้ร้านค้าปลีกขนาดเล็กทยอยปิดตัวลงจนไม่สามารถกลับมาประกอบกิจการในตลาดค้าปลีกขนาดเล็กได้ดังเดิม

และตามรายงานการวิจัยของ Ennis, Gonzaga, และ Pike (2019) ที่ศึกษาข้อมูลความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจำนวนหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่า อำนาจตลาดที่เพิ่มขึ้นในตลาดที่ไม่มีการแข่งขันอย่างเหมาะสม ทำให้ผู้มีอำนาจตลาดกล้าขึ้นราคาสินค้าและคว้ากําไรเพิ่มขึ้น ผลก็คือ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เมื่อมีอำนาจเหนือตลาดก็ย่อมมีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าผู้ผลิตสินค้าหรือวัตถุดิบที่ เป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs) โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้แก่สินค้าเกษตร สินค้าชุมชน สินค้าวิสาหกิจชุมชนหรือผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น OTOP ซึ่งหากยังปล่อยให้มีการรวมกิจการต่อไปก็จะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้นจนไม่อาจกลับไปแก้ไขได้

ท้ายสุด หากศาลไม่มีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยให้ระงับคำสั่งการรวมธุรกิจไว้ก่อน และต่อมาศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนมติอนุญาตให้รวมธุรกิจของคณะกรรมการแข่งขันฯ ก็แทบจะไม่มี ประโยชน์ต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายย่อย เนื่องจากจะไม่มีร้านค้าปลีกเล็ก ๆ ในท้องตลาดที่จะสามารถ กลับมาได้อีก นอกจากนี้ การปล่อยระยะเวลาให้ล่วงเลยไปและปล่อยให้กิจการของทั้งสองบริษัทดำเนินกิจการต่อไปย่อมมีผลกระทบในตลาดค้าปลีกขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นอย่างมาก จนอาจไม่สามารถกลับมาแก้ไขหรือเยียวยาได้