เหลือบเห็นข่าวบรรดาอาเฮียจากสมาคมฯขนส่งต่างๆ ที่นำโดยพ่อใหญ่ทองอยู่ คงขันธุ์ ประมุขสิบล้อเมืองไทยตบเท้าร่วมกันแถลงข่าว“มาตรการสนับสนุนนโยบายรัฐบาล กรณีการบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด”เด้งรับคำสั่งของนายกฯตู่พร้อมชูมือสนับสนุนให้รัฐกวดขันล้างบางสิงห์รถบรรทุกนอกคอก(บางพวกบางเหล่า)ที่จงใจทำผิดกฎหมายแบกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนดเป็นสาเหตุทำให้ถนนหนทางพังพินาศสันตะโร ที่ภาครัฐต้องวอดวายเงินหลวงกับการซ่อมแซมในแต่ปีถึง 2 หมื่นล้านบาท
ข้าน้อย ปีศาจขนส่ง ได้เสพข่าวแล้วอดที่จะปรับมือรัวๆพลางกดไลท์แทบไม่ทันให้กับปฏิบัติการอันเป็น “เนื้อนาบุญ” ต่อวงการของบรรดาสมาพันธ์ฯและสมาคมฯขนส่งต่างๆที่อาสาหามาตรการไล่ล่าเอาผิตกับบรรดา “สิบล้อแตกแถว”ที่มีจิตสำนึกดีต่อสังคม“ต่ำเตี้ยติดติด”ในครั้งนี้!
ไม่มีใครหาญกล้าปฏิเสธกฎหมายมีไว้ให้ประชาชนคนไทยทุกคนปฏิบัติตามเท่าเทียมกัน เมื่อกฎหมายระบุน้ำหนักไว้เท่าไหร่ผู้ขนส่งก็ต้องคงตามน้ำหนักนั้นๆ แล้วทำไมล่ะพฤติกรรมเห็นแก่ตัวสุดโต่งของผู้ขนส่งในการแบกน้ำหนักเหล่านี้ถึงลอยหน้าลอยตาและยืนสง่าอยู่ในสังคมได้? หรือทำไมหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบถึงไม่สามารถกำจัด “พวกเดนขนส่ง”ให้สิ้นซากไปจากสังคมไทยได้ซักที หรือทำไมเจ้าหน้าที่รัฐ(บางคน)ยังใช้ตำแหน่งหน้าที่ทำมาหากินกับการกระทำผิดกฎหมายเช่นนี้ และอีกสะระตะคำถามที่สังคมคลางแคลงใจ?
แต่ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพราะขาด“จิตสำนึกที่ดี”ของทุกฝายที่มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนๆ ถึงกระนั้นแล้วการที่ถนนพังจะที่ไปโยนขี้ให้กับสิงห์รถบรรทุกฝ่ายเดียวก็ไม่เป็นธรรมแน่ เพราะสิงห์บรรทุกเคารพกฎหมายก็มีเยอะ “พวกจิตสำนึกป่วย”ก็ใช่ว่าจะมีน้อย การแบกน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนดไปถึงปลายทางได้อย่างไร ถ้าไม่มีผู้รู้เห็นเป็นใจที่เป็นตัวละครทั้งหลายแหล่ จนเป็นที่มา“ทฤษฎีสมประโยชน์”ระหว่างผู้ขนส่งและผู้พิทักษ์กฎหมาย (บางพวกบางกลุ่ม)ที่ไร้จิตสำนึก จนเล่นแร่แปรธาตุเป็น “ส่วยทางหลวง” หรือ “ส่วยสติกเกอร์” ก็แล้วแต่ใครพอใจจะเรียกขาน กลายเป็น “เชื้อมะเร็ง”เกาะกินสังคมไทยมานาน ที่ไม่ว่ายุคใดสมัยใดก็ไม่มีปัญญาแก้ปมนี้ได้ จนกลายเป็น “มหากาพย์ส่วยทางหลวง” ที่หลอกหลอนพี่น้องชาวไทยอยู่ร่ำไป
ล่าสุด ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเจ้ากระทรวงหูกวาง“อาคม เติมพิทยาไพสิฐ”ออกโรงเผยการจับกุมรถบรรทุกเกินได้กว่า200คันในช่วงวันที่ 1-21 พ.ย. และอึ้งกิ่มกี่ไปกว่านั้นพบแบกน้ำหนักมากสุดคันเดียวหนัก 115 ตัน ทั้งในความเป็นจริงรถพ่วง 24 ล้อกฎหมายอนุญาตในน้ำหนักแค่ 50.5 ตันเท่านั้น
เป็นเยี่ยงงี้แล้วมันจะไม่พังได้ไงล่ะThailand Only อีหลีครับพี่น้อง!
ขณะที่พ่อใหญ่ทองอยู่ คงขันธ์ก็ออกมาชี้แจงเป็นข้อๆว่าการที่ถนนพัง ก็ไม่ใช่โยนบาปให้กับพี่น้องรถบรรทุกเสียทั้งหมด เพรายังมีห่วงโซ่ที่เกี่ยวข้องอีกบานไม่ว่าเรื่องของงบประมาณที่ได้มา แท้จริงแล้วนำไปสร้างถนนจริงๆ เท่าไร?เมื่องบประมาณถูกตัดทอนออกไปมาตรฐานถนนก็ต่ำลงไปรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐผู้รักษากฎหมายที่ปล่อยปละละเลย พร้อมกับยอมรับแบบลูกผู้ชายตัวจริงว่ารถบรรทุกคืออีกหนึ่งจิกซอร์สำคัญที่มีส่วนทำให้ถนนพัง
ฟากฝั่ง “เฮียเต๊ก-ชุมพล สายเชื้อ” เลขาธิการสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยก็ให้ความเห็นว่าปัญหาหลักที่ทำให้เกิดการบรรทุกน้ำหนักเกินและธุรกิจส่วยสติกเกอร์ระบาดหนักเกลื่อนเมือง ส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่าจ้างต้องการลดต้นทุนในการขนส่งนำไปสู่การแบกน้ำหนักบรรทุกเกินกว่า 50.5 ตันตามที่กฎหมายกำหนดเป็นเท่าตัว หรือบรรทุกครั้งละเป็นร้อยตันขึ้นไป ปมปัญหานี้เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน ต่อให้แก้อย่างไรก็คงไม่หมด หากยังไม่แก้ที่ต้นตอ ก็คือ ผู้ว่าจ้างหรือผู้ประกอบการ ที่ยังคงสนับสนุนส่งเสริมและรู้เห็นเป็นใจให้เกิดการขนส่งบรรทุกน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด
อีกเบื้องลึกที่ ปีศาจขนส่ง ได้ยินจาก 2 รูหู จาก 1 ปากผู้ประกอบการขนส่งรายหนึ่ง(ขอสงวนนาม) ที่รู้ไส้รู้พุงวงการการนี้เป็นอย่างดีที่ระบุว่าวงจรอุบาทว์ส่วยทางหลวงนี้ต่อให้ปราบปรามอย่างไรก็ไม่สิ้นซากจากสังคมไทยหรอก หากยังมีตัวละครหลายตัวโดยเฉพาะตัวละครที่เป็นผู้ประกอบการขนส่ง(บางคน)ที่ไร้จิตสำนึกผิดชอบชั่วดี ว่ากันว่าเป็น “ผู้มากบารมีแถบภาคเหนือ”ที่เอ่ยชื่อก็ต้องถึงบางอ้อกันทั้งบ้านทั้งเมือง พฤติกรรมสุดแสบของไอ้โม่งขนส่งมากบารมีนี้ เล่นละครตบตาฉากหน้าปากก็บ้วนมธุรวาจาต่อหน้าธารกำนัลดังว่า “ไม่เอาไม่จ่ายส่วย” แต่ฉากหลังกลับแสดงพฤติกรรมต่ำช้าเยี่ยงโจรพลิกบทบาทเป็นร้ายปีศาจผู้หิวโหยเงิน “สวาปามส่วย” เองซะงั้น “ด้วยวิธีการเพื่อนพ้องพี่น้องในวงการขนส่งรายใดต้องการขนส่งสินค้าแบกน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนดไปที่ใดก็ตาม ไอ้โม่งรายนี้จะรับหน้าที่เคลียร์เส้นทาง-ด่านชนิด “ไร้ปัญหา”จุกจิกกวนใจ สินค้าไปจุดหมายปลายทางชัวร์พร้อมระบุ “ค่าภูมิปัญญา”ในดำเนินการเสร็จสรรพ”
หากจะว่าไปแล้วพฤติกรรมไอ้โม่งตีกินนิ่มๆเยี่ยงนี้ก็ใช่ว่าจะระบาดหนักเฉพาะวงการขนส่งเท่านั้น แต่ยังแพร่เชื้อลามระบาดไปยังคนมีสี(บางคน)ข้าราชการองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น(บางคน)ที่สะกดคำว่า “จิตสำนึกที่ดี”ต่อบ้านเมืองไม่ค่อยจะถูก เที่ยวเป็นเหลือบลิ้นไรเกาะกินบ้านกินเมืองอยู่ร่ำไป โดยมีหัวโขนผู้ประกอบการขนส่ง, ยูนิฟอร์มเจ้าหน้าที่รัฐเป็นฉากบังหน้าเพื่อหวังกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว
บทสรุปจากปมปัญหานี้จะโยนบาปให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ย่อมไม่เป็นธรรม ภาครัฐจะใช้กฎหมายดาหน้าไล่บี้เอาผิดเฉพาะผู้ประกอบการขนส่งพร้อมตราหน้าว่าเป็น “แพะรับบาป” ก็ย่อมไม่ก่อมรรคก่อผลแน่นอน เพราะยังมีเจ้าหน้าที่รัฐ(บางคน)ทำตัวเป็น “ไอ้โม่ง”มีพฤติกรรมอำพรางสวาปามเค้กก้อนโตจากวงจรอุบาทว์ “ส่วยทางหลวง” นี้อยู่อีกบานตะไท
ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องปฏิรูปตัวเองและบูรณาการความรับผิดชอบร่วมกันภายใต้ “เนื้อในสำนึกที่ดี”ต่อบ้านเมือง ไม่ปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงบทบาทอยู่ฝ่ายเดียว!
หากไม่เช่นนั้นแล้ว แล้วพฤติกรรมแสบสันต์เยี่ยงนี้ยิ่งทวีเป็น “เชื้อแรง”ระบาดหนักไปยัง “ผู้ขนส่ง และเจ้าหน้าที่รัฐ”ที่เนื้อในสำนึกต่ำติดธุลีดิน(บางคน)รายอื่นๆเจริญรอยตามกันเป็นพรวน …อีกกี่ปีกี่ชาติวงจรอุบาทว์ “ส่วยทางหลวง”ก็ไม่มีวันจางหายไปจากสังคมไทย ยิ่งแก้..ก็ยิ่งเข้าทำนอง “แก้ผ้าเอาหน้ารอด”ไปวันๆ