บ้านปูฯเพิ่มความแข็งแกร่งในระบบนิเวศทางธุรกิจทั่วทั้งองค์กร เผยปี 2561 ผลประกอบการโตตามเป้าผนึก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก เดินหน้าสู่ผู้นำธุรกิจด้านพลังงานแบบครบวงจร
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจด้านพลังงานแบบครบวงจรแห่งเอเชีย-แปซิฟิก รายงานผลภาพรวมการดำเนินงานปี 2561 ของบริษัทฯ เติบโตตามเป้าหมาย มีรายได้จากการขายรวม 3,481 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 112,474 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 604 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,516 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 21 โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 1,178 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 38,062 ล้านบาท) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากปีก่อนหน้า บริษัทฯ เพิ่มความแข็งแกร่งในระบบนิเวศทางธุรกิจด้วยการผนึกกำลัง 3 กลุ่มธุรกิจหลักที่ส่งเสริม ต่อยอด และเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ Greener & Smarter อย่างต่อเนื่อง
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บ้านปูฯ ให้ความสำคัญกับระบบนิเวศทางธุรกิจทั่วทั้งองค์กร เพราะเราเชื่อมั่นว่าการที่ธุรกิจของบริษัทฯ จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยระบบนิเวศทางธุรกิจที่เอื้อประโยชน์และส่งเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ประกอบไปด้วย กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน (ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การตลาด การค้า โลจิสติกส์ และการจัดหาเชื้อเพลิง และสายส่ง) กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน (โรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไป และจากพลังงานหมุนเวียน) และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน (ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร ระบบจัดเก็บพลังงาน และระบบการจัดการเทคโนโลยีพลังงาน) โดยอาศัยทั้งนวัตกรรม เทคโนโลยี และศักยภาพของบุคลากร ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน 10 ประเทศ การต่อยอดลงทุนหรือมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการมองถึงระบบนิเวศทางธุรกิจที่สมบูรณ์ที่จะตอบโจทย์ความเป็นผู้นำธุรกิจด้านพลังงานแบบครบวงจรด้วยพันธสัญญา พลังบ้านปูฯ สู่พลังงานที่ยั่งยืน “Our Way in Energy”
สำหรับภาพรวมปี 2561 บ้านปูฯ มีรายได้จากการขายรวม 3,481 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 112,474 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 604 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 19,516 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 21 โดยมีปัจจัยหนุนจากความต้องการถ่านหินที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ปริมาณการขายถ่านหินและราคาถ่านหินที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) ในรวม 1,178 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 38,062 ล้านบาท) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิจำนวน 205 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6,624 ล้านบาท) ซึ่งปรับลดลงร้อยละ 12 จากปีก่อนหน้า โดยกำไรสุทธิที่ปรับลดลงเป็นผลจากการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ บันทึกขาดทุนจากอนุพันธ์ทางการเงิน โดยส่วนใหญ่เป็นการขาดทุนจากการขายถ่านหินล่วงหน้า เนื่องจากราคาถ่านหินในตลาดโลกปรับสูงขึ้น และบันทึกค่าใช้จ่ายจากกรณีหงสาซึ่งเป็นที่ยุติเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้ บ้านปูฯ ก้าวสู่การเป็น “บริษัทพลังงานแบบครบวงจร” อย่างแท้จริงใน 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พร้อมเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Greener & Smarter และใช้จุดแข็งจากความสามารถในการผนึกกำลังระหว่างกัน (Stronger Integration) ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลักมาช่วยในการบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานของผู้บริโภค ชุมชนและสังคม ได้อย่างยั่งยืน” นางสมฤดีกล่าวปิดท้าย