กรมขนส่งฯกำชับยังไม่มีการปรับขึ้นค่ารถเมล์ทุกประเภททุกเส้นทาง ย้ำต้องจัดเก็บอัตราเดิมเท่านั้น พร้อมส่งผู้ตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบการให้บริการ หากพบฝ่าฝืนเก็บค่าโดยสารเกินที่ทางราชการกำหนดปรับสูงสุดทุกกรณี
นายกมล บูรณพงศ์ รองกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางมีมติเลื่อนการปรับขึ้นค่าโดยสารรถโดยสารประจำทางทุกประเภท ออกไปจากกำหนดเดิมเป็นวันที่ 22 เมษายน 2562 ส่งผลให้ผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทางทุกประเภทต้องปฏิบัติตามมติดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยต้องจัดเก็บค่าโดยสารตามอัตราเดิมที่ทางราชการกำหนด ทั้งนี้ พบว่ามีผู้ประกอบการบางรายฉวยโอกาสเก็บค่าโดยสารโดยใช้อัตราใหม่ซึ่งจะมีผลวันที่ 22 เมษายน 2562 นั้น กรมการขนส่งทางบกได้จัดผู้ตรวจการลงพื้นที่ตรวจสอบตามประเด็นร้องเรียนและควบคุมการให้บริการให้เป็นไปตามเงื่อนไข หากตรวจสอบพบการฉวยโอกาสเก็บค่าโดยสารเพิ่มจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 ฐานเรียกเก็บอัตราค่าโดยสารผิดไปจากที่ทางราชการกำหนด ปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท พร้อมบันทึกประวัติการกระทำความผิด และหากพบการกระทำผิดซ้ำพิจารณาพักใช้เพิกถอนใบอนุญาตผู้ประจำรถ ทั้งผู้ขับรถและผู้เก็บค่าโดยสาร รวมถึงผู้ประกอบการจะมีความผิดฐานไม่ควบคุมกำกับดูแลการให้บริการซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่ง
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับอัตราค่าโดยสารในปัจจุบัน ดังนี้ รถของ ขสมก. 6.50 บาท รถร่วม ขสมก. (บัสใหญ่และมินิบัส) 9 บาท รถโดยสารปรับอากาศ 12-20 บาท รถโดยสารปรับอากาศ (Euro) 13-25 บาท รถสองแถว 7 บาท รถตู้โดยสารจัดเก็บในอัตราเดิม ในขณะที่รถหมวด 2 หมวด 3 ที่ให้บริการในต่างจังหวัด ทั้งรถบัส บขส.และรถร่วม บขส. แบ่งเป็น 4 ช่วง ประกอบด้วย ระยะทาง 40 กม.แรก 0.49 บาทต่อ กม., 40-100 กม. 0.44 บาทต่อ กม., 100-200 กม. 0.40 บาทต่อ กม. และเกิน 200 กม. 0.36 บาทต่อ กม. กรณีเป็นรถตู้และรถโดยสารขนาดเล็ก 0.67 บาทต่อ กม.
กรณีประชาชนพบรถโดยสารสาธารณะเก็บค่าโดยสารเกิน สามารถแจ้งกับผู้ตรวจการได้โดยตรง หรือร้องเรียนผ่านสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ผ่านทางเว็บไซต์ที่ http://ins.dlt.go.th/cmpweb/, ผ่านทาง E-mail ที่ dlt_1584complain@hotmail.com, ผ่านทาง Facebook ชื่อ “1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ” https://www.facebook.com/dlt1584/ หรือเดินทางมาร้องเรียนด้วยตนเอง ณ กรมการขนส่งทางบก โดยระบุรายละเอียดรถและผู้ขับรถคันที่กระทำความผิด เช่น หมายเลขทะเบียนรถ ชื่อ-นามสกุลผู้ขับรถ วันเวลาสถานที่เกิดเหตุ ให้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้กระบวนการติดตามตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษเป็นไปด้วยความรวดเร็ว