คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดเสวนาให้ความรู้กับผู้ประกอบการไทย ในงานสัมนา “SMEs ก้าวไกลด้วย หัวใจโซเชียล” โดยมีวิทยากร อาทิ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านธุรกิจ นายปรมินทร์ ตันวัฒนะ เจ้าของธุรกิจเกี๊ยวซ่า KINZA นายจุลเทพ บุณยกร ชนก เจ้าของธุรกิจผักสลัด มังกรหยก มาร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้โซเชียลกับธุรกิจ และมี ดร.รณชาติ บุตรแสนคม เป็นผู้ดำเนินการเสวนา โดยได้เน้นการสร้างความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนำไปใช้ต่อยอดธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้เติบโตและเข้าใจถึงการใช้สื่อในโลกโซเชียล
รศ.ดร.ธานินธร์ ศิลป์จารุ รองอธิการบดีและคณบดีคณะบริหารธุรกิจ มจพ. ประธานเปิดการเสวนา กล่าวว่า ในปัจจุบันการประกอบธุรกิจ SMEs ในประเทศไทยมีจำนวนการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการเปิดการค้าเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ที่ผู้ประกอบการธุรกิจไทยสามารถลงทุนและทำธุรกิจในต่างประเทศได้ ทำให้เกิดการปรับตัวและการแข่งขันที่มากขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศได้กว้างขวาง นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงนโยบาย ภาครัฐที่ต้องการให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นการสร้างแบรนด์ธุรกิจให้ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง
“ในส่วนของ SMEs นั้นภาครัฐต้องการเปลี่ยนธุรกิจแบบเดิมๆ ไปสู่การเป็น Smart Enterprises และ Startup ที่มีศักยภาพสูง โดยส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีหรือโซเชียลมาช่วยในการประชาสัมพันธ์ แต่เนื่องจากผู้ประกอบการ ส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในการใช้โซเชียลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการแข่งขัน โดยเฉพาะในส่วนของการใช้โซเชียลให้กับผู้ประกอบการ และภาคธุรกิจ SMEs คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้เล็งเห็นความสำคัญจึงได้มีการจัดเสวนา SMEs ก้าวไกลด้วยหัวใจโซเชียล และเน้นย้ำเรื่องของการใช้โซเชียลมีเดีย อย่างไรให้ SMEs ก้าวไกลไปในยุค 4.0 เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมและสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจไทยนำโซเชียลมาปรับใช้และพัฒนาธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ด้าน รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด กล่าวว่า ปัจจุบันมีการใช้พื้นที่ดิจิทัลในการเชื่อมต่อในการสื่อสาร ในการพูดคุย และการค้นหา เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการธุรกิจก็จะต้องปรับตัวตามการใช้ดิจิทัลในการดำเนินชีวิต ซึ่งก็จะต้องตอบโจทย์ด้วยการใช้ดิจิทัลในการดำเนินธุรกิจเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อดิจิทัลมีการวิวัฒนาการมาถึงความเป็นโซเชียลมีเดีย ถือว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงมาก
“การใช้โซเชียลมีเดียนั้นจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์ จะใช้บล็อคเกอร์เชียร์สินค้าอย่างไร ให้ผู้บริหารเล่าเรื่องธุรกิจอย่างไร จะให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จะโชว์ภาพสินค้าอย่างไร รวมถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับคอนเทนต์ที่จะเข้ามาบทบาทสำคัญ ซึ่งถ้า SMEs สามารถเข้าใจกับดิจิทัลมีเดีย และโซเชียลมีเดียได้ ก็จะมีโอกาสอย่างมากในการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการสร้างแบรนด์ ซึ่งในอดีตต้องใช้เรื่องของแมสมีเดียหรือสื่อต่างๆ ในการประชาสัมพันธ์และสร้างแบรนด์ ซึ่งก็ยากที่ SMEs จะเข้าถึงได้ เนื่องจากมีราคาสูง แต่ในปัจจุบันเป็นเรื่องโซเชียลมีเดียและดิจิทัลมีมูลค่าที่ต้องจ่ายตรงนี้ต่ำลงมากว่า 100-200 เท่าเลยทีเดียว”
รศ.ดร.เสรี ยังกล่าวถึงการเข้ามาของ เว็บไซต์ขายสินค้าระดับโลกอย่าง “อาลีบาบา” ว่า จะมีผลกระทบกับ SMEs และภาคธุรกิจไทยหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าภาคธุรกิจจะเลือกสนามที่ไปลงตรงไหนอย่างไร ธุรกิจไม่เหมือนสงคราม ไม่เหมือนการเลือกตั้งการเมือง เพราะจะมีผู้ชนะได้เพียงรายเดียว แต่ธุรกิจจะมีผู้ชนะได้หลายๆ คน เพียงแต่ชนะมากหรือน้อย ใครทำธุรกิจแล้วได้กำไร ถือเป็นผู้ชนะทั้งนั้น ซึ่งเชื่อว่าการมาของอาลีบาบาก็คงไม่ทำให้ธุรกิจไทยแพ้ถึงขนาดตายไปทั้งหมด ซึ่งก็ยังคงมีคนที่อยู่ได้ และมีคนที่ประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน